Sunday, July 18, 2010

การอดนอนทำให้อ้วนและโทรม



รู้ๆ กันว่า การอดนอนนั้น ทำให้ดูโทรม ผิวเหี่ยว สมองเฉื่อยชา แต่มีข่าวใหม่ล่าสุด บอกว่า การหลับไม่เต็มอิ่ม ยังทำให้ยากที่จะ
รักษารูปร่างได้ และมีแนวโน้มที่น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย เรียกว่า นอกจากจะไม่สวยแล้ว ยังอาจทำให้อ้วนขึ้นได้อีกต่างหาก

ผู้หญิง เรา ต้องการนอนแค่ไหนจึงจะพอ
นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ถามกันบ่อยมาก Dr. James B. Maasเจ้าของหนังสือ " Power Sleep " บอกว่า โดยเฉลี่ยผุ้หญิงจะนอนประมาณ 6 ชั่วโมง 10 นาที ทั้ง ๆ ที่ แหญิงสาวในวัยไม่เกิน 25 ควรนอนให้ได้ 9 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงในวัยเกิน 25 ปีไปแล้ว อาจต้องการนอน แค่วันละ 8 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า จำนวนชั่วโมงการนอนที่ได้ผลดีกับร่างกาย มากที่สุด นั่นคือ ทำให้สมองได้ พักผ่อนอย่างเต็มที่ เซลล์ของร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง อยู่ที่ 9 ชั่วโมง 25 นาที ไม่ใช่ 8 ชั่วโมงอย่างที่เคยเชื่อกัน

ออก กำลังกายในช่วงไหน จึงจะทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
การออกกำลังกายในตอน เย็น (ช่วง 16.00-18.00 ) จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณนอนหลับฝันดี โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ชนิดที่ช่วยเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง เดิน ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที

ทำไมการ นอนไม่เต็มอิ่ม อาจทำให้คุณอ้วนได้
ผลการศีกษาจาก มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า กลุ่มผู้ชายที่มีสุขภาพดี วัย 17-28 ปี ที่นอนเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน จะมีผลทำให้ระดับความดันของเลือดและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่า การอดนอน ทำให้เป็นหวัด ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับความเครียด และมีอาการอ่อนเพลีย แต่น้ำหนักตัวกลับเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเมื่อคนเรามีอาการเครียดและรู้สึกอ่อนเพลีย ก็มักจะหาทางออกด้วยการกินอาหารที่มีรสหวาน ซื่งเป็นปฎิกริยาของร่างกาย ที่ต้องการพลังงานไปชดเชยนั่นเอง

ฝึก หายใจแบบโยคะ ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
Dr. Derek Loewy ผุ้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย Stanford แนะนำว่า การฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ เหมือนการท่าฝึกหายใจของโยคะ จะช่วยให้ลดความตึงเครียดและอาการหงุดหงิดลงได้ การฝึกหายใจ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และขับไล่สารพิษเมื่อหายใจออก และช่วยให้จิตใจสบาย ร่างกายผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลต่าง ๆ ได้ จึงช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น

วิธี ฝึกหายใจ
นั่งไขว้ขา หลังตรง ยืดหน้าอกขึ้น แต่ผ่อนคลายส่วนไหล่ วางมือลงบนหน้าท้อง โดยให้ฝ่ามือหันเข้าลำตัว หายใจเข้าลึก ๆปล่อยให้มือ ขยับขึ้นลง ตามจังหวะการหายใจ ฝึกหายใจในท่านี้ ประมาณ 10 ครั้ง

17 วิธีเพื่อผิวสวยใส



1.ดูแลผิวให้เนียนนุ่ม ก่อนลงน้ำทะเลควรทาเบบี้ออยล์ให้ทั่วผิว แล้วใช้ทรายที่ชายทะเลขัดผิว จากนั้นจึงล้างตัวด้วยน้ำทะเล
แต่อย่าลืมทาครีมกันแดดหรือโลชั่นกันแดดที่มี SPF 50 หรือมากกว่านั้น เพื่อป้องกันผิวหนังจากการไหม้เกรียม

2.คนที่มีผิวบอบบาง ควรป้องกันผิวจากรังสียู่วีในแสงอาทิตย์ได้ด้วยการชโลมน้ำมันอัลมอนด์ลงบน ผิวกายทุกครั้งหลังอาบน้ำ
หรือจะใช้น้ำมันที่สกัดจากมะพร้าว ก็ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและลมหนาวได้เช่นกัน

3.มอยส์เจอไรเซอร์ สำหรับคนที่มีผิวอ่อนบาง ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของกรดหรือน้ำหอม
สังเกตได้บนฉลากของผลิตภัณฑ์มีคำว่า Comedogenic หมายถึงผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน

4.คนที่มีผิวธรรมดา แต่มีการแห้้งและคัน เมื่ออากาศหนาว ควรใช้โลขั่นที่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง

5.คนที่อยากมีผิวขาวเนียนกระจ่างใส การนำมะขามเปียกมาขัดถูผิวเวลาอาบน้ำ จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งแตก

6.ดื่มน้ำแร่อย่างน้อย 1.5 ลิตรทุกวัน จะช่วยให้ผิวพรรณและใบหน้าสดใส

7.ใช้น้ำแร่เย็นเฉียบล้างหน้าเป็นประจำเช้า-เย็น จะช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นได้ น้ำเย็นยังช่วยให้ผิวหน้าปรับสภาพ
และคืนสมดุลได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

8.หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าผิวหน้าก็หิวน้ำได้เช่นกัน ดังนั้นควรฉีดสเปรย์น้ำแร่ให้ใบหน้าคงความชุ่มชื้นตลอดวัน

9.นำน้ำผึ้งมาอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอเหมาะ ทาทั่วใบหน้าและลำคอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และเป็นการให้สารอาหารบำรุงกับผิวหน้า

10.นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำนม และนำมาแช่ในอ่างอาบน้ำ เพื่อช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

11.ใช้เมล็ดอัลมอนด์บดผสมกับโยเกิร์ต พอกทิ้งไว้ 18-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำปล่าวแล้วใช้ผ้าเช็ดให้สะอาด
จากนั้นล้างหน้าซ้ำอีกครั้งจะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่นุ่มนวลเนียนใส

12.ทำความสะอาดรอบดวงตาอย่างเบามือ โดยเฉพาะคนที่แต่งหน้าเป็นประจำ ควรใช้โลชั่น ครีม หรือผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางที่ผลิตมาเป็นพิเศษสำหรับเช็ดเครื่องสำอางค์ออกจากผิวหน้าได้สะอาด ก่อนการล้างหน้าทั่วไป ที่สำคัญควรเลือกที่ผลิตมาเพื่อเช็ดอายแชโดว์และมาสคาร่าแบบติดทน กันน้ำ เพื่อเช็ดออกได้สะอาด โดยไม่จำเป็นต้องเช็ดแรงเกินไป

13. ก่อนเลือกซื้อครีมบำรุงรอบดวงตา ควรดูว่ามีครีมมีส่วนผสมอะไรบ้าง เช่น
ถ้าผสมชาเขียวซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวของคุณให้สดใสขึ้น
หรือถ้ามีส่วนผสมของคาโมมายล์ ซึ่งช่วยผ่อนคลาย และลดอาการระคายเคืองได้ดี

14.คนที่ต้องการชะลอริ้วรอยก่อนวัย ควรเลือกครีมบำรุงดวงตาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอซึ่งช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น
และวิตามินบีซึ่งช่วยซ่อมแซมผิวหนัง และวิตามินอีซึ่งช่วยปกป้องผิวจากริ้วรอย

15.ควรดูแลผิวรอบดวงตา ด้วยการใช้นิ้วมือแตะครีมบำรุงรอบดวงตา แล้วถูเนื้อครีมให้เข้ากันซึ่งจะช่วยให้ส่วนผสมต่างๆในเนื้อครีม
ทำงานได้ดีขึ้น จากนั้นจึงทาครีมเบาๆบนผิวรอบดวงตาให้เนื้อครีมซึมเข้าสู่ผิว เพื่อช่วยบำรุงและชะลอริ้วรอย

16.ครีมบำรุงรอบดวงตาสำหรับตอนเช้า ควรเลือกชนิดเจลที่มีส่วนผสมของวิตามินที่ช่วยลดริ้วรอยและปกป้องแสงแดด
อย่าใช้ครีมสำหรับใบหน้าทาบริเวณรอบดวงตา เพราะเนื้อครีมสำหรับผิวหน้าจะมีความเข้มข้นสูง
และมีส่วนผสมของน้ำหอมและสี ซึ่งอาจทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคืองได้

17.คนที่นอนดึก สามารถแก้ขอบตาดำคล้ำได้ด้วยการฝานมันฝรั่งบางๆ แล้ววางลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ 10 นาที
น้ำและความชุ่มชื้นจากมันฝรั่งจะซึมซาบเข้าสู่ผิว ช่วยให้รอยคล้ำใต้ตาจางลงได้

10 วิธีดูแลผิวหน้าและผิวตัวให้่สวยกระจ่างใส



การดูแลผิวหน้าแม้จะไม่มีอะไรยุ่งยาก แต่ถ้าทำผิดวิธี นอกจากผิวหน้าจะไม่ดูดี ยังอาจทำให้ผิวหน้ามีปัญหามากขึ้น

ดังนั้นอย่ามองข้ามความสำคัญของวิธีการดูแลผิวหน้า นี่คือ 12 วิธีง่ายๆที่ควรทำเป็นประจำเพื่อผิวหน้าสวยกระจ่างใส


1.เลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับสภาพผิว
คุณรู้ว่าตัวเองมีสภาพผิวหน้าแบบไหน แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับสภาพผิวของคุณ
ไม่เช่นนั้นผิวหน้าของคุณจะสูญเสียค่าสมดุลของความเป็นกรดด่าง

2.พอกหน้าเป็นประจำ
พอกหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง วิธีง่ายๆ คือ ทาครีมหรือโคลนพอกหน้าให้หนาพอสมควร เว้นบริเวณรอบดวงตา
ระหว่างนั้นอาจนั่งหรือนอนฟังเพลงสบายๆ สัก 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ควรหาเวลาพอกหน้าวันเว้นวัน
และวันที่พอกหน้า ต้องไม่ตรงกับวันที่ขัดผิวหน้า หรือ สครับผิวหน้า

3.ควรบำรุงผิวทั้งในเวลากลางวัน และเวลากลางคืน
ในเวลากลางวัน ควรเลือกมอยซ์เจอไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดเป็นประจำ
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ร่มซึ่งไม่เจอกับแสงแดดโดยตรง หรือ ออกไปกลางแจ้งเป็นประจำ
เพราะแสงต่างๆสามารถทำร้ายผิวคุณได้แม้ในที่ร่ม เช่น แสงจากคอมพิวเตอร์ แสงไฟนีออน
ในเวลากลางคืนก็ไม่ควรละเลยการบำรุง เนื่องจากในขณะที่ผิวพักผ่อน ผิวสามารถซึมซับประโยชน์ของครีมบำรุงได้อย่างเต็มที่

4.อย่าพยายามนอนดึก อย่าเพียงแค่คิดว่าคุณยังไหว เพราะร่างกายของคนเราต้องการการพักผ่อน เพื่อให้เซลล์ต่างๆได้ซ่อมแซม

5.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ที่ได้ยินกันบ่อยว่าให้ดื่มน้ำเปล่าวันละ 6-8 แก้ว อันที่จริงแล้ว ถ้าดื่มมากกว่านั้นได้ก็จะเป็นการดี

ไม่ควรดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ แต่ถ้าคุณชอบก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะการดื่มน้ำอัดลมมากไป จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร
จะเกิดอาการอึดอัดและปวดท้องได้

6.ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ บริหารตัวแล้วอย่าลืมบริหารหน้า นวดหน้าด้วย

7.งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้ดูแก่ก่อนอายุ

8.อย่าตากแดดเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะแสงแดดที่แรงจัด เพราะรังสียูวีในแสงแดดเป็นตัวทำลายผิวให้เกิดริ้วรอย

9.ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ก่อนอายุ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์
ซึ่งมีอากาศเย็นทำให้ผิวหนังแห้ง และเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอย

10.ทำความสะอาดร่างกายและใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ หากคุณเป็นสิว ควรใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น
โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด

วิธีหนีความอ้วน แบบที่ไม่ต้องกดดันเกินไป



วิธีต่อไปนี้ทำให้คุณลดน้ำหนักได้ โดยไม่ต้องกินยาลดความอ้วนที่มีอันตรายอย่างคาดไม่ถึง และไม่ต้องไปเข้าคอร์สแพงๆ เพื่อลดไขมัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง แต่น้ำหนักอาจไม่ลดลงอย่างที่หวัง

1. ทำตัวให้คล่องแคล่วทุกเมื่อ

อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่า ๆ หรือมัวนั่งเฉยๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่งานหรือที่บ้าน พยายามเคลื่อนไหวบ่อยๆ
จะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น

2. ไม่จำเป็นต้องเลิกของหวาน
ถ้าคุณติดรสหวานอร่อยของช็อกโกแลต เค้ก ขนมเบเกอรี่ หรือขนมไทยรสหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ก็ไม่จำเป็นต้องงด เพราะยิ่งอดก็จะยิ่งอยากกิน และยิ่งควบคุมได้ยากเมื่อเห็นขนมหรือเมื่อเห็นคนอื่นกินแล้วห้ามใจไม่ได้ จะยิ่งทำให้หมดการควบคุม และกินแบบไม่ยั้ง การกินของที่ชอบนาน ๆ ครั้ง ไม่ได้ทำให้แผนลดน้ำหนักของคุณต้องล้มเหลวลงหรอก ถ้าคุณขยันออกกำลังกายมากขึ้นในสัปดาห์นั้น

3. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
การดื่มน้ำในช่วงตื่นนอน นอกจากทำให้คุณสดชื่น และช่วยระบายท้อง ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขี้น ช่วยลดความอึดอัด
ในท้องได้ การดื่มน้ำในระหว่างวัน ก็ช่วยไม่ทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชาจากการรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ

4.กินอาหารมื้อเล็ก ๆ
การทานอาหารมื้อเล็ก ๆ ห้าถึงหกมื้อ โดยทอดเวลาห่างกันซักสองสามชั่วโมงจะช่วยทำให้คุณไม่รู้สึกเฉื่อยชา เมื่อต้อง
รับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ

5. ไม่ควรชั่งน้ำหนักบ่อยๆ
การชั่งน้ำหนักตัว ทุกวัน ทำให้คุณเกิดความเครียด และอาจท้อแท้ จนเลิกล้ม ความพยายามไปเปล่า ๆ ทางที่ดีคุณควรชั่งน้ำหนัก
สัปดาห์ละครั้งก็พอแล้วค่ะ

6.อย่าตุนอาหารเต็มตู้เย็น
ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต คราวหน้า ลดปริมาณของที่ซื้อมาตุนในตู้เย็นลง เพราะยิ่งคุณมีของกินในบ้านมากขึ้น คุณก็ยิ่งกินมากขึ้น

7.ฟังเพลงเรียกเหงื่อ
การฟังเพลงที่เร้าใจ ตอนออกกำลังกาย จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คุณออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

8.ควรกินข้าวกล้อง
นอกจากจะช่วยประหยัดไฟ ในการใช้สีข้าวให้ขาวจั๊ว ข้าวกล้องน่ะ ยังมีวิตามินดี ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียบ เมื่อเทียบกับข้าวเม็ด
ขาวสวย และที่สำคัญอยู่ติดท้องนานกว่า ทำให้อิ่มได้นาน

9. ตั้งใจและมุ่งมั่น
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ การลดน้ำหนักของคุณไม่ได้ผล ก็คือความรู้สึกท้อแท้ เมื่อเห็นน้ำหนักตัวไม่ขยับลงอย่างที่ควรจะเป็น
บางทีเป็นเพราะคุณคาด หวังผลเร็วเกินไป แต่ขอให้เชื่อว่า การลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง ไม่เร่งให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ
แม้ได้ผลช้า แต่ไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพและยังได้ผลที่ถาวรกว่า

กินอย่างไรไม่ให้อ้วน



1.รับประทานผักและผลไม้ให้มากเป็นประจำ นอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ผักผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามิน
ที่มีประโยชน์ต่อความสวย และช่วยลดระดับไขมันโคเรสเตอรอลอย่างได้ผลอีกด้วย



2.รับประทานธัญพืชและถั่วต่างๆให้มาก เช่น ข้าวกล้อง งา ถั่วต่างๆ ลูกเดือย ซึ่งจะมีเส้นใยอาหารช่วยให้อิ่มเร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาระดับโคเลสเตอรอลอีกด้วย



3.รับประทานปลา หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำโดยเฉพาะเนื้อปลา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นโปรตีนชั้นดีและมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง ปลาแซลมอน ปริมาณไขมันที่ควรรับประทานต่อวันไม่ควรเกิน 5-8 ช้อนชาและหากจะรับประทานสลัดก็ไม่ควรใส่น้ำสลัดมากกว่า 5 ช้อนชา



4.หลีกเลี่ยงอาหารหวานต่างๆ ไม่จำเป็นต้องงด แต่ไม่ควรกินบ่อย เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน ขนมหวาน หรือแม้แต่ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ
เพราะของหวานให้แต่พลังงาน ซึ่งหากรับประทานมากก็จะเกินความต้องการไปเป็นส่วนเกินตามร่างกาย

5.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มจัด โดยควรรับประทานเกลือให้น้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน

6.งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยไม่ควรดื่มมากกว่า 1 แก้วต่อวัน เพราะนอกจากจะก่อโทษต่างๆแล้ว
ยังมีแคลอรี่สูงอีกด้วย หากคุณรับประทานอาหารตามแนวทางนี้ จะทำให้คุณรักษารูปร่างให้สมส่วนได้อย่างยาวนาน
ไร้ไขมันส่วนเกินและสุขภาพดี ไม่ผอมเกินไปแบบการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

การดูแลสุขภาพผิวให้สวยใส



การดูแลสุขภาพผิวให้สวยใส ท่านสามารถทำได้ไม่ยากเลย มีหลักการง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. ครีมถนอมผิว
2. ครีมกันแดด
3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว
4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน
6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

รายละเอียดมีดังนี้

1. ครีมถนอมผิว (Moisturizer, Emoillient)

ครีมที่ใช้ทาบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น ส่วนใหญ่จะมีสารประกอบพวกยูเรีย กลีเซอรีน มิเนอรัลออยล์ เลซิทิน วิตามินอี ลาโนลิน ยูเซอริน ฯลฯ ใช้ทาเพื่อทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้ง ไม่เหี่ยวเฉา

* ควรจะทาครีมหรือโลชั่นทุกครั้งหลังจากอาบน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านชอบอาบน้ำอุ่นเป็นประจำหรืออาบน้ำนานมาก เพราะผิวจะแห้งมาก
* ไนท์ครีม น่าจะทาหน้าก่อนนอนเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้าท่านชอบนอนห้องแอร์
* ถ้าต้องล้างมือบ่อย ควรทาครีมบำรุงผิวมือบ่อยๆ หลังล้างมือ
* ส่วนจะใช้ยี่ห้อไหนดี ใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงมาก ใช้ที่มีส่วนประกอบของสารข้างต้น ครั้งแรกลองใช้ทาเฉพาะที่ก่อน ถ้าทาไป 3-4 วัน แล้วไม่แพ้ก็ใช้ทาทั่วไปได้

2. ครีมกันแดด (Sunscreen)

* ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลา 11.00-15.00 น. เพราะแสงแดดช่วงเวลานี้ จะมีรังสีอัลตราไวโอเลตสูงมาก
* ควรสวมหมวกใบใหญ่ ปีกกว้าง ถือร่ม ใส่เสื้อแขนยาว ใส่แว่นตากันแดด ถ้าท่านต้องตากแดดเป็นประจำ
* ทายากันแดดที่มี SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป
* ยากันแดดใช้ยี่ห้อไหนดี ถ้าท่านแพ้ง่าย ควรใช้ยากันแดดที่มีส่วนผสมของติเตเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้หลักการคล้ายกับการสะท้อนแสง ทาแล้วจะกันแดดได้ดีเพียงแต่ทาแล้ว อาจจะมีใบหน้าขาววอกไปหน่อย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะมีส่วนผสมของซินนาเมต ซึ่งก็ใช้ทากันแดดได้ผลดีเช่นกัน และหน้าไม่ขาววอกเกินไป
* ครั้งแรกที่ทายากันแดด ควรเริ่มทาที่บริเวณหน้าผากก่อน ทดลองทาดูประมาณ 3-4 วัน ถ้าไม่แพ้ วันหลังจึงทาทั่วใบหน้าได้นะคะ
* การทายากันแดด ควรทาประมาณ 1/2 ชั่วโมงก่อนออกไปตากแดด ถ้าต้องตากแดดทั้งวันตอนบ่ายควรทายากันแดดซ้ำอีก 1 ครั้ง

3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว (Whitening cream)

ปัจจุบัน มีครีมที่ทำให้หน้าขาวใสขึ้น ไร้รอยเหี่ยวย่น ลบริ้วรอยต่างๆ ซึ่งมีมากมายหลายชนิด ถ้าท่านอยากให้หน้าใสขึ้นก็ใช้ทาได้ ถ้าไม่แพ้นะคะ ถ้าแพ้ระคายเคืองก็ต้องหยุดใช้ยายี่ห้อนั้นๆ ดังกล่าวที่ค่อนข้างใช้ได้ผลดี และไม่ค่อยแพ้ ไม่อันตรายจนเกินไป มักจะมีส่วนประกอบของสารสำคัญดังนี้ คือ

* กลุ่มกรดผลไม้ AHA
* กลุ่ม BHA
* กลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoic acid)
* กลุ่มกรดอะเซเลอิค (Azeleic acid)
* กลุ่มอื่นๆ เช่น วิตามินซี กรดโคจิค สารสกัดมัลเบอร์รี่

ถ้าท่านผิวดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมที่ทำให้หน้าขาวนะคะ

4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

* กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ วันละ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มเหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์ต่างๆ น้ำชา กาแฟ มากเกินไป ไม่ดีนะคะ
* อย่าทำงานหนักเกินไป อย่าเครียดงานมากเกินไป ถ้าท่านทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน จะเกิดร่องรอยตีนกาชัดเจนมากขึ้น อย่างรวดเร็วมาก
* ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วแต่บุคคลและวัยนะคะ
* ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน

น้ำที่ร้อนจัดเกินไป หรือน้ำอุ่นแต่อาบน้ำนานมาก จะทำให้ผิวหนังแห้งมากจนเกินไป ถ้าอาบเป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองคันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านเป็นโรคผื่นแพ้คันอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นมากจนเกินไปนะคะ

* หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน อาบน้ำอุ่นนานๆ บ่อยๆ
* หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ
* อย่าอบไอน้ำ อบตัวด้วยความร้อน อบเซาว์น่า บ่อยๆ จนเกินไปหรือนานเกินไป

6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

* ท่านที่ชอบการขัดหน้า นวดหน้า พอกหน้า หลายๆ รูปแบบนั้น จะยิ่งมีโอกาสเกิดการระคายเคืองได้ง่าย หน้าจะยิ่งบางลง และไวต่อแสงแดดมากขึ้น มีโอกาสเกิด ฝ้า กระ สิว ได้มากขึ้น นอกจากจะเสียเงินมากขึ้นแล้ว ยังเสียเวลาและเสียดายใบหน้าอีกด้วยนะคะ
* การขัดตัว การที่ท่านไปขัดตัวตามสถานที่ต่างๆ หรือซื้อฟองน้ำ ใยบวบหรือหินขัดต่างๆ มาขัดด้วยตนเอง พอกสารหลายอย่าง แล้วขัดถูตัวกันอย่างจริงจังนั้น เป็นการทรมานผิวหนังของท่านมากจนเกินไปนะคะ คิดดูซิคะว่า ผิวหนังจะสกปรกอะไรกันนักหนา ถึงต้องขัดตัวขนาดนั้น เพราะฉะนั้นอาบน้ำฟอกสบู่เบาๆ ใช้แค่สบู่เด็กอ่อนๆ ถูเบาๆ ก็เพียงพอแล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจากนตยสารใกล้หมอ บทความโดย พญ.วิญญารัตน์ ตันศิริ

8 วิธีที่ทำให้ผมเสีย

1.เป่าผม ไดร์ผม

จะทำให้ผมแห้งกรอบ ถ้าไม่รีบควรจะปล่อยให้ผมแห้งเอง โดยธรรมชาติบ้างและหากต้องใช้เครื่องเป่าผมก็อย่าจ่อเครื่องเป่าให้แนบติด กับผมมากเกินไป หาเครื่องเป่าผมที่มีช่องลมโต ๆ และเปิดความร้อนให้ระดับต่ำสุด จะดีกับสุขภาพของเส้นผมมาก

2.แปรงผมวันละร้อยครั้ง

คือ การจัดผมให้เข้ารูปเข้าทรง แปรงผมบ่อยเกินไป จะไปดึงเส้นผม อาจทำให้หนังศีรษะถลอกเป็นแผลได้ และที่สำคัญควรแปรงผมอย่างเบามือ เลือกใช้แปรงที่ขนแปรงห่างกันมาก ๆ จะช่วยป้องกันเส้นผมพันกัน3. ใช้แชมพูทูอินวันสะดวกดี ไม่ควรใช้เป็นประจำ เพราะอาจทำให้เส้นผมหยาบกระด้างได้

4.ใช้ยางหนังสติ๊กรัดผมหรือยางที่สำหรับรัดปากถุง

จะทำให้ผมอ่อนแอ และแตกปลายได้ เลือกใช้ที่ยางรัดผม ที่หุ้มด้วยผ้าจะดีกว่า

5.เกาผมแรง ๆ ในระหว่างสระผม

เพราะเกิดอาการคัน และถ้าเป็นรังแค การเกาแรงๆ จะทำให้รังแคลุกลามมากขึ้น การสระผมที่ถูกวิธี ควรนวดด้วยฝ่ามือแทน

6.ไม่ค่อยสระผม

การสระผมบ่อย ๆ แล้วจะทำให้ผมแห้ง แต่ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญเรื่องผม ต่างยืนยันมาว่าไม่จริงยิ่งถ้าอยู่ท่ามกลางมลพิษก็จำเป็นจะต้องสระผมบ่อย ๆ และควรสระทุกครั้งที่รู้สึกว่า ผมสกปรก เพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษนั้น เป็นต้นเหตุให้ผมขาดประกายเงางามและกลายเป็นผมหยาบในที่สุด

7.ใช้เครื่องสำอางสำหรับผมมากไป

จะก่อให้เกิดการตกค้างของสารเคมีบน เส้นผม ทำให้เส้นผมส่องประกายเงางามได้ยาก ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมบ่อย ๆ ก็ควรจะสระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนใสบ้าง เพื่อช่วยชำระสารเคมีตกค้างจากผลิตภัณฑ์ด้วย

8.ดัดผมยืดผม

เป็น การทารุณกับเส้นผมเป็นอย่างมาก เพราะศัตรูตัวร้ายรองจากแสงแดด และการเป่าผม ก็คือการปล่อยให้เส้นผมโดนสารเคมีแรง ๆ จากน้ำยาดัดและยืดผม ซึ่งทำให้ผมเสียได้ง่ายๆ เหมือนกันถ้าอยากมีผมที่สวยและเงางาม ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาเส้นผมกันด้วย

ไดเอท ง่ายๆ สไตล์ สาวญี่ปุ่น

เคยสังเกตกันไหมว่า สาวญี่ปุ่น นอกจากจะคงความโนะเนะ น่ารักของวัยใสไว้ได้จนกระทั่ง เข้าวัยกลางคนแล้ว เธอยังคง ทรวดทรงงดงาม อ้อนแอ้นตามแบบหญิงเอเชีย ไม่อ้วนเผละไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หรือพกห่วงยางไว้ให้อุ่นใจ ยามเตร็ดเตร่แถวชายทะเล เหมือนสาวประเทศอื่นๆ พวกเธอมีเคล็ดลับอย่างไร ในการรักษาทรวดทรงองค์เอว ให้อ้อนแอ้นอรชรเหมือนสาวแรกรุ่น ตลอดเวลากันแน่ คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหาร ของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง เคล็ดลับที่จะนำเสนอนั้น นอกจากจะ ใช้ได้กับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังปรับใช้ได้กับอาหารไทยอีกด้วย

+ เริ่มจากการเลือก ถ้วยชาม ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนว เอิร์ธโทน อย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ

+ นอกจากนั้น ถ้วยชาม ที่ใช้ควรมี ขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด

+ การใช้ ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้ คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง

+ การกิน อาหารหลากหลายประเภท พร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอด เวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อ มากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน

อาหาร เพื่อวันนั้นของเดือน

PMS (Premenstrual Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้น ก่อนการมี ประจำเดือน อย่างเช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน เป็นตะคริว อ่อนเพลีย หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย เป็นต้น

เมื่อใกล้ถึงวันนั้นของเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีอาการดังกล่าว มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ป้องกันหรืออย่างน้อยที่ก็บรรเทาได้หาก "เลือก" หรือ "เลี่ยง" การรับประทานอาหารบางประเภทในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน

เลือก

แมงกานีส นักวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าแมงกานีสช่วยให้การมีประจำเดือนดำเนินไปอย่าง ปกติ ช่วงที่มีประจำเดือนจึงควรรับประทานอาหารที่มีแมงกานีสได้แก่ ธัญพืช ถั่ว ผัก และผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสับปะรด ชาแม้จะเป็นอาหารที่มีแมงกานีสเช่นกัน แต่ก็มีกาเฟอีนซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวได้

แคลเซียม ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากที่เคยรับประทาน อยู่เป็นประจำ เช่น ตับ ปลาตัวเล็กตัวน้อย กะปิ กุ้ง ผักใบเขียวเช่นคะน้า เพราะผลวิจัยพบว่า แคลเซียมช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการมีประจำเดือน เช่น ปวดท้อง ปวดหลัง หงุดหงิด วิตกกังวล ซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

คาร์โบ ไฮเดรต เวลาปกติผู้หญิงอาจไม่สนใจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากนัก แต่ช่วงมีประจำเดือน คาร์โบไฮเดรตคืออาหารที่ช่วยลดผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอารมณ์ลงอย่าง ได้ผล ผลการวิจัยจากศูนย์ศึกษาวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงดังกล่าวช่วยลดอาการหงุดหงิด เครียด อารมณ์สีย รวมถึงอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เพราะคาร์โบไฮเดรตช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเซอโรโทนินซึ่งทำให้อารมณ์ดี มีจิตใจแจ่มใสขึ้น ถ้ากลัวว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงเวลามีประจำเดือนจะทำให้น้ำหนัก ตัวเพิ่มขึ้นก็ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮดรตที่มีคุณภาพ เช่น ธัญพืชหรือข้าวกล้อง เป็นต้น

หลีกเลี่ยง
กาเฟอีน ผลการวิจัยพบว่าผู้หญิงจีนที่ดื่มกาแฟวันละหนึ่งถ้วยครึ่งถึงสี่ถ้วย มีอาการต่างๆ ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ก่อนการมีประจำเดือนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเครื่อง ดื่มเหล่านี้ถึง 2 เท่า จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในช่วงเวลาดังกล่าวโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งคนที่ร่างกายอ่อนไหวต่อการบริโภคกาเฟอีนอยู่แล้ว

ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่ และบำรุงผิว




สตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีอานุภาพสูงมากในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย
นอกจากนี้ สตรอเบอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัส และแคลเซียม จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น
โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหวัด และโรคภูมิแพ้
ผลการศึกษาทางการแพทย์ ยังพบว่า เมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากันกับผลไม้ชนิดอื่นๆ
สตรอเบอร์รี่ มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า ส้ม หนึ่งเท่าครึ่ง
สูงกว่า องุ่นแดง สองเท่า.. สูงกว่า กีวี สามเท่า.. สูงกว่า กล้วยหอม กับ มะเขือเทศ เจ็ดเท่า..และสูงกว่า “ลูกแพร” ถึงสิบห้าเท่า

สตรอเบอร์รี่นอกจากจะเป็นผลไม้ที่อร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายในการนำไปใช้บำรุงผิว เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมันถึงผิวปกติ

สตรอเบอร์รี่ มีกรดอัลฟ่าไฮดรอกซี่ ช่วยในการขัดลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างยอดเยี่ยม เป็นการบำรุงผิวอย่าง่ายๆ
นำสตรอเบอร์รี่ผ่าซีก แล้วนำเนื้อสตรอเบอร์รี่ทาลงบนผิวหน้าให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ 2 นาที แล้วล้างออก ผิวจะนุ่มลื่นขึ้น

สตรอเบอร์รี่ครีมมาสก์ ทำเองได้โดยนำสตรอเบอร์รี่ ผสมกับนมเปรี้ยว และน้ำผึ้ง ทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก
ผิวจะนุ่ม ช่วยลดสิว และลดอาการผิวมันบนใบหน้า

ลดอาการผิวเท้าหยาบกร้าน ทำสครับสตรอเบอร์รี่ นำสตรอเบอร์รี่ 8 ผล น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1 ช้อนชา
บดผสมให้เข้ากันจนข้น แล้วถูนวดลงบนเท้า จากนั้นก็ล้างออก

แก้ตาบวม สตรอเบอร์รี่เป็นชิ้นบางๆ และวางลงใต้ตา ผ่อนคลายสัก 10 นาที แล้วล้างออก จะรู้สึกว่ารอบดวงตาดูชุ่มชื้นขึ้น

บำบัดผิวให้สวยกระจ่างใสด้วยพลังผักผลไม้



มลภาวะ ฝุ่นควัน แสงแดด และความเครียด เป็นศัตรูตัวร้ายของผิวพรรณที่ทำลายผิวสวยให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ หมองคล้ำ ไม่เนียนใสเหมือนผิวเด็ก

วิธีแก้ไขในเบื้องต้นที่จะช่วยบำบัดผิวให้กลับมากระจ่างใส ด้วยพืชผักผลไม้ที่เรียกได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งหาได้ง่ายทั่วไป

คืนความสดใสแก้ไขผิวอ่อนล้าไม่สดใส ผิวแห้งเหี่ยวย่นขาดความนุ่มชุ่มชื้นลองใช้แตงกวาสด ๆ ล้างน้ำให้สะอาดนำไปสับหรือปั่น
คั้นเอาแต่น้ำ นำมาทาบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก ผิวหน้าของคุณจะสดใสมีชีวิตชีวา สามารถช่วยคืนความสดชื่นให้กับผิวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผิวหน้าที่อ่อนล้าและทรุดโทรม

2.ใช้ใบชา ซึ่งมีสารช่วยเคลือบผิวที่บอบช้ำให้กลับคืนสู่สภาพปกติ
โดยนำใบชาที่ต้มแล้วบรรจุลงบนถุงผ้าสะอาดบาง ๆ ขนาดเล็ก แล้ววางบนใบหน้าหรือบริเวณรอบดวงตา
หรือใช้ชาแบบถุงชา teabag ที่ผ่านการชงแล้ว เก็บไว้ให้เย็น แล้วนำมาวางบนดวงตาขณะหลับตาพักผ่อนสายตา ประมาณ 20 นาที
ช่วยให้ผิวหน้าและผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นสดใสได้อีกครั้ง

คืนผิวสวย เนียนใส ไร้รอยด่างดำ แก้ปัญหาสิว ฝ้า ริ้วรอย จุดด่างดำ ผิวหน้าไม่ขาวนวลกระจ่างใส
นำน้ำผึ้งแท้ ๆ และมะขามเปียกมาผสมกันในอัตราส่วนที่เข้มข้น ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออก
จะช่วยให้ผิวหน้าคุณนวลเนียนผ่องใสไม่หมองคล้ำ ดูเกลี้ยงเกลามากยิ่งขึ้น

นำน้ำมะนาวผสมน้ำ 1 :1 ทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ทำวันละ 1 ครั้ง เพื่อสิว ฝ้า จุดด่างดำค่อย ๆ เลือนหาย
แล้วผิวยังนุ่มนวลอีกด้วย

ดูแลให้ผิวสวยสดใส ด้วยผลอโวคาโด ซึ่งเป็นผลไม้เปลือกสีเขียว ผิวมีลักษณะขรุขระ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน เอ บี ซี ดี และอี

โดยก่อนที่คุณจะเข้านอนให้ นำผลอโวคาโดโดยประมาณ 1/2 ของผล มาบดหรือปั่นให้ละเอียดจนเหมือนเนยเหลว
แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้สักครู่ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วค่อยล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณยิ่งเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น น่าสัมผัส

หรือใช้มะเขือเทศสุกสด ๆ มาปั่นให้ละเอียดแล้วนำมาพอกที่ผิว ซึ่งในน้ำมะเขือเทศสุกมีสารที่ช่วยในการขจัดเชื้อแบคทีเรียตามรูขุมขนช่วยให้ผิวสดใสยิ่งขี้น อีกทั้งยังช่วยสมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่น เต่งตึงมีน้ำมีนวล

สมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่นด้วยวุ้นจากว่านหางจระเข้ โดยใช้วุ้นที่ตัดออกมาใหม่ๆ จากต้น นำมาล้างยางสีเหลืองออกให้สะอาด
แล้วนำวุ้นมาตีปั่นให้ละเอียดก่อนนำมาพอกที่ผิวจะช่วยบำรุงให้ผิวนุ่มมี สุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยสมานแผลได้

แต่ถ้าหากผิวของคุณมีสิวฝ้ามาก ทั้งสิวอักเสบ รอยแผลเป็น จุดด่างดำ ฝ้าลึก กระ ต่างๆ มากเกินกว่าจะใช้ธรรมชาติบำบัดผิว
การไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจรักษาจะดีกว่า ไม่ควรไปหาซื้อยาหรือเครื่องสำอางที่ยังไม่อาจแน่ใจได้
ว่ามีมาตรฐานและความปลอดภัย

ทิปเด็ด! สวยใสในพริบตา

ถ้าคุณมีเวลาไม่มากนักในการแต่งเติม ความงามบนใบหน้า นี่คือขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณดูสวยพร้อมในเวลาอันรวดเร็ว

* ใช้ครีมรองพื้นแบบแท่งกลบรอยแดงๆ และสิวเอาไว้ การเลือกเฉดสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวของคุณ จะช่วยให้ทาได้ง่ายและเร็วขึ้น

* ที่ดัดขนตาดีๆ จะช่วยให้ดวงตาของคุณดูโตขึ้น และขนตางอนสวยโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที

* การปัดมาสคาร่าสองสามรอบ จะช่วยให้ดวงตาดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ถ้าคุณไม่มีเวลาทาอายแชโดว์หรือเขียนอายไลเนอร์* ใช้ผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์ที่ใช้แต่งเติมความงามบนใบหน้าได้หลายอย่าง และสามารถใช้นิ้วแต้มลงบนเปลือกตา แก้ม และริมฝีปากได้ โทนสีชมพูกุหลาบ สีพีช และสีบรอนซ์เป็นโทนสีที่ใช้ได้ดีที่สุด

* ใช้ลิปสติกแบบบางใสและมีความมันวาว หรือลิปบาล์มแบบที่มีสีเจืออยู่เล็กน้อย จะช่วยให้เรียวปากดูสวยใสได้โดยไม่ต้องเขียนขอบปากหรือทาทับด้วยลิปกลอส ลิปสติกโทนสีแดงหรือชมพูจะช่วยให้ดูสดใสขึ้นได้ แม้ในยามที่แต่งหน้าไม่ครบสูตร

ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง



หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก, เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาด ๆ ยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนาน ๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย

โดย ร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่? ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง

จากประสบการณ์ ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ ๆ ก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอเส้นเลือดอุดตันได้เลย

เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออกยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือดเราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้น หนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุก ๆ วัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก
ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่เราทาน เข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมา ๆ หยุด ๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบ เขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อย ๆ กลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

ช่องทางในการขับของเสีย ออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ 2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ 4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน

เมื่อช่อง ทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่าง ๆ ให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อย ๆ เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว

เคล็ดลับๆ ก่อนอาบน้ำ

เชื่อว่าเวลาอาบน้ำน่าจะเป็นเวลาที่โปรดปรานสำหรับ หลายต่อหลายคน ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ปรนเปรอผิวนั้น
จึงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ หลังชำระล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วต้องไม่ทำให้ผิวแห้งตึง ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น

6 เคล็บลับก่อนอาบน้ำ

1.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด หรืออาบน้ำอุ่นนานๆ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ หลังอาบน้ำให้กระชับผิวด้วยน้ำเย็น
หรือน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อกระชับรูขุมขน

2.การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายมากขึ้น

3.ไม่ควรอาบน้ำ หลังรับประทานอาหารเลยทันทีเพราะจะทำให้ไม่สบายท้อง

4.ก่อนอาบน้ำลอง จุดเทียนหอมกลิ่นโปรด และอาบน้ำอย่างละเมียดละไม แช่น้ำอุ่นสัก 15 นาที
จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดประจำวันได้

5.ถ้าอาบน้ำด้วยฝักบัว ควรอาบน้ำเย็นรดตัวเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที
เพราะระบบหมุนเวียนโลหิตจะถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างรวดเร็ว

6.หลังเช็ดตัวควรทาโลชั่นทันที เพื่อเก็บกักความชุ่มชื่นของผิวเอาไว้

เพียง 6 เทคนิคง่ายๆนี้ก็สามารถช่วยให้คุณสดชื่น คลายเครียด และแลดูอ่อนกว่าวัยได้แล้ว

Saturday, July 17, 2010

เรื่องของผิวหน้ามัน



ผิวหน้ามันเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า
ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์ ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสมกับผิวหน้า

ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานอาหารมันๆ เช่น ขาหมู ไอศครีม กะทิ ชีส อาหารทอด อาหารมันต่างๆ
จะทำให้ผิวหน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิด เพราะเป็นไขมันคนละชนิดกับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง

ปัญหาที่พบคู่กันกับอาการหน้ามันคือ การมีรูขุมขนกว้าง
ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น
เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ จะสะสมในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนมีขนาดกว้างขึ้น
จากนั้นก็จะเกิดการอุดตัน อนเป็นสาเหตุให้เกิดเป็นสิวตามมา

การดูแลรักษาผิวหน้าสำหรับคนหน้ามัน

1.ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก

2.ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

3.การแต่งหน้า แป้งที่เหมาะสมสำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น
การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมี ผิวหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้าง หรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป
เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น
ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตราย อย่าซื้อกินเองหรือเอาไปแบ่งกินกับเพื่อน
เพราะยานี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น

ความสำคัญของอาหารเช้าและการพักผ่อน



หมอที่โรงพยาบาลอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และควรกินให้หลากหลาย
เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา
แต่ไม่ใช่การดึงไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นการงดอาหารเช้า จึงไม่ได้ทำให้ลดน้ำหนักลงได้

แต่ภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย

ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว
นั่นคือร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน
และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้
เรารู้หรือไม่ว่าโดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหมือนขยะที่ร่างกายสะสมไว้
เปรียบเทียบเหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เรียกขยะในร่างกายนี้ว่า
สารอนุมูลอิสระ(oxidant) ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้พลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา

นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อ เวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง
ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก

การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืน เป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ
หรือที่ได้ยินกันบ่อยๆว่า anti-oxidant ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน
การนอนหลับให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง
สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล
คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ
ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขา
มีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุยไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น
เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมากไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย
ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังเป็นอยู่
ดังนั้น นี่คือสิ่งที่ควรปฏิบัติเป็นประจำ

1.กินอาหารเช้าแบบราชา กินอาหารกลางวันแบบคนธรรมดา และกินอาหารเย็นแบบยาจก
หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที
เนื่องจาก 20นาทีแรก ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต หลังจากนั้นอีก 10-20 นาทีต่อมา ร่างกายจึงจะเผาผลาญไขมัน
2.นอนหลับ หรือพักผ่อนให้เพียงพอ
3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์
4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอารมณ์ที่ดี และสร้างสุขภาพจิตที่ดี ให้กับตัวเอง และคนรอบข้าง

หมายเหตุ : โดยน.พ.พันธุ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์

ห่างไกลโรคร้ายด้วยวิตามินและเกลือแร่

ในปัจจุบัน การขาดสารอาหารกลุ่มวิตามินและเกลือแร่จนก่อให้เกิดโรค เช่น โรคเลือดออกตามไรฟัน (ขาดวิตามินซี) โรค ตาฝ้าฟางในเวลากลางคืน (ได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอ) หรือโรคคอหอยพอก (ขาดธาตุไอโอดีน) คงเป็นโรคที่เราพบได้ไม่บ่อยนัก นั่นเป็นเพราะการดูแลเอาใจใส่เรื่องสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของโภชนาการที่ดี มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามกลับพบว่า 30-50% ของ ประชากรอยู่ในภาวะขาดวิตามินและเกลือแร่ในระดับต่ำ ๆ หรือขาดไปเพียงเล็กน้อย (Suboptimal level) ซึ่งการ ขาดในลักษณะนี้ร่างกายจะไม่แสดงความผิดปกติออกมาให้เห็นเป็นโรคอย่างชัดเจน ทันทีทันใด แต่อาจมีผลบั่นทอนสุขภาพ อาหารเสื่อมที่เกิดขึ้นจะค่อยเป็นค่อยไปเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียไม่สดชื่น และเกิดโรคแห่งความเสื่อมหรือโรคเรื้อรังตามมา

สาเหตุของการขาดวิตามินและเกลือแร่

1.การขาดความรู้และความเข้าใจในการได้รับสารอาหารที่จำเป็นในวัยต่าง ๆ

ในแต่ละวัยมีความต้องการในสารอาหารพื้นฐานต่างกัน ดังนั้นการคำนึงถึงโภชนาการที่เหมาะสม เพื่อการเจริญเติบโตหรือเพื่อซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะช่วยลดการขาดวิตามินและแร่ธาตุได้ เด็กและวัยรุ่นเป็นช่วงที่ต้องการสารอาหารหลัก รวมทั้งวิตามิน และเกลือแร่อย่างครบถ้วนเพียงพอ เพื่อการเจริญเติบโตสตรีตั้งครรภ์ต้องการสารอาหารบางชนิดเสริมเป็นพิเศษ เช่น กรดโฟลิค ธาตุเหล็ก แคลเซียม สำหรับผู้สูงอายุถึงแม้ต้องการพลังงานจากอาหารหลักลดลง แต่จำเป็นต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพิ่มขึ้น เพื่อไปซ่อมแซมและใช้ในกระบวนต่าง ๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเป็น

2.ภาวะเจ็บป่วยต่างๆ ทำให้ไม่สามารถทานอาหารได้อย่างครบถ้วน

3.การ ดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ ส่งผลถึงพฤติกรรมการบริโภค
เช่น งดอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อสำคัญที่สุด การทานอาหารจานด่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ หรือแม้แต่การทานอาหารนอกบ้าน
ไม่ได้ทำอาหารรับประทานเอง ซึ่งอาจจะไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนเมื่อเทียบกับอาหารที่ปรุงสดใหม่

4.ค่านิยมในการควบคุมน้ำหนัก ต้องการผอม จึงจำกัดอาหารบางประเภท
เช่น งดอาหารมัน แป้ง อาจทำให้ขาดวิตามินที่ละลายในไขมันได้

5.การเตรียมและปรุงอาหารที่ไม่ถูกวิธี
ทำให้สูญเสียวิตามินไประหว่างประกอบอาหาร เช่น การปิ้งหรือการทอดทำให้สูญเสียวิตามินอี ถึง 50%

ผลการขาดวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญบางชนิดใน แต่ละวันอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง
เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคกระดูกพรุนได้ ฉะนั้นการเสริมด้วยวิตามินและเกลือแร่รวม
สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังบางประเภทได้

ทำอย่างไรจึงจำได้รับวิตามินที่เพียงพอ

วารสารทางการแพทย์ชั้นนำ Journal of American Medical Association (JAMA) หรือ จาม่า
แนะนำว่าผู้ใหญ่ทุกคนควรรับประทานวิตามินรวมวันละ 1 เม็ด เนื่องจากเป็นที่ทราบแน่ชัดแล้วว่า
สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคกระดูกพรุนได้

รวมถึงคำแนะนำจาก Council for Responsible Nutrition (CRN) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยสารอาหาร ประเทศสหรัฐอเมริกา
ว่าควรเริ่มต้นได้รับวิตามินและ แร่ธาตุร่วมซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างเพียงพอก่อน
หลังจากนั้นจึงอาจเสริมด้วยแคลเซียมหรือสารอาหารเสริมพิเศษอื่นๆ ตามความจำเป็นของร่างกาย

โดยสรุปแนวทางของการมีสุขภาพดีนั้น ควรเริ่มจากการได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สมดุล ถูกสัดส่วน หรือเสริมด้วยวิตามินและแร่ธาตุรวม
รวมถึงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็ทำให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงห่างจากโรคภัยได้ไม่ยาก

เทคนิคการแต่งตัวให้สวย

ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มีสรีระร่างกายบางส่วนไม่สวยมัก ประสบปัญหาการสวมใส่เสื้อผ้า บางทีเสื้อผ้าสวยงาม ยี่ห้อดี ๆ แต่พอซื้อมาใส่เองกลับดูไม่ได้เลย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า แต่อยู่ที่การเลือกชุดให้เข้ากันและการรู้จักตกแต่งเพิ่มเติม

หน้าอกโตลงด้วยเสื้อผ้าสี เข้ม
ผู้หญิงที่มีหน้าอกโตแล้วยังใส่เสื้อหลวมๆ สีอ่อนมีลายยาวเป็นทาง และใส่กับกระโปรงสั้นสีเข้ม
สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่ไปเน้นขนาดใหญ่ของหน้าอก ให้ดูใหญ่มากขึ้น
วิธีแก้คือ ใส่เสื้อที่มีสีเข้ม ยิ่งเป็นสีดำก็ยิ่งดี เสื้อที่ไม่มีลายอะไรเลย ไม่ว่าลายขวางแนวนอน หรือขวางแนวตั้ง
ที่สำคัญต้องเป็นเสื้อที่เข้ารูป แล้วใส่คู่กับกระโปรงสีอ่อนๆ เช่น โทนสีพาสเทล
ทั้งหมดนี้ช่วยซ่อนส่วนเกินและช่วยให้ดูเหมือนว่าหน้าอกมีขนาดเล็กลง

ลดขนาดต้นแขนด้วยเสื้อแขน 3 ส่วน
ถ้าคุณมีต้นแขนที่ใหญ่ หรือเต็มไปด้วยไขมันส่วนเกิน การที่คุณจะใส่เสื้อแขนกุดสีโทนอ่อนนั้น จะดูไม่สวย
วิธีแก้คือใส่เสื้อแขน 3 ส่วน เพื่อปกปิดต้นแขนที่มีขนาดใหญ่ และควรเลือกสีที่สดใส ฉูดฉาด
เพื่อดึงความน่าสนใจไปที่สีน่ารักๆ มากกว่าส่วนเกินที่ดูไม่สวย

ก้นกระชับด้วยกางเกง รัดรูปสีดำ
สีเข้มสามารถเบนความสนใจจากส่วนเกินที่ไม่สวยได้ ผู้หญิงที่ก้นใหญ่สามารถใช้ความจริงข้อนี้มาเป็นประโยชน์กับตัวเองได้
แทนที่คุณจะใส่กางเกงหลวมๆ สีอ่อนๆ แล้วไปเน้นความใหญ่ของก้น หรือสะโพก
วิธีแก้คือใส่กางเกงรัดรูปสีเข้ม หรือสีดำ
เพื่อพรางตาให้ดูเหมือนว่าก้นคุณไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ถ้าใส่สีเข้มทั้งเสื้อและกางเกงแล้วดูไม่ค่อยสดใส
ก็อาจใส่เสื้อสีโทนสดใส กับกางเกงสีดำ จะดูทันสมัย ไม่เน้นส่วนเกินได้

ขาสวยด้วยกระโปรงสีโทนอ่อน ผู้หญิงที่มีขาที่ยาวและเล็ก หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าขาตะเกียบ
มักมีปัญหาเวลาสวมกระโปรงสั้นแค่เข่า เนื่องจากกระโปรงแบบนี้ คุณต้องโชว์เรียวขาของคุณ ยิ่งถ้ากระโปรงนั้นมีลีดำ
ก็จะยิ่งดูไม่สวยมากขึ้น เพราะจะเน้นความเล็กและยาวของขา
วิธีแก้คือใส่กระโปรงยาวเลยเข่าสีโทนอ่อน เช่น สีขาว สีเทา สีครีมมาใส่ เพราะว่าสีอ่อนสามารถพรางตา
ทำให้ดูเหมือนว่าคุณมีช่วงขาที่สมส่วน ถ้าได้ใส่เข้าคู่กับรองเท้าบู๊ตยาวประมาณเข่าที่ช่วยปิดบังท่อนขาช่วงล่างของคุณ
ก็จะยิ่งช่วยทำให้ดูดีขึ้นอีก

ครีมกันแดด

การได้รับแสงแดดมีทั้ง ประโยชน์และโทษ ที่เป็นอันตรายต่อผิวของมนุษย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาความเข้มของแสงแดด และความไวของผิวหนังต่อแสงแดด ประโยชน์จากการได้รับแสงแดด ทำให้มีผลดีต่อสุขภาพจิต (Psychologically) และสรีรวิทยาของร่างกาย (Physiologically) เพิ่มขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต นอกจากนี้แสงแดดยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคกระดูกอ่อนในเด็ก ทั้งยังช่วยในการรักษาโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรค และโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคเรื้อน ประโยชน์อีกประการหนึ่งของแสงแดด คือ หากได้รับครั้งละเล็กน้อยเป็นประจำจะทำให้เกิดการสร้างเมลานิน (melanin) เป็นเหตุให้เซลผิวหนังหนาขึ้น เป็นผลให้เกิดกลไกทางธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ป้องกันการเกิดผิวเกรียมแดด (sun burn) ส่วนโทษของการได้รับแสงแดดทำให้เกิดผื่นแดง (erythema,reddening) การแดงจะเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นผิวเกรียมแดด เพราะกลไกทางธรรมชาติในการสร้างสีผิวไม่สามารถต้านทานการดูดซึมแสงเข้าสู่ ผิวได้แต่ผลอันนี้เป็นผลในระยะสั้น เป็นการทำลายผิวชั้นนอกที่เกิดขึ้นชั่วคราว ส่วนผลในระยะยาว เนื่องจากการได้รับแสงบ่อยๆ เป็นเวลานานทำให้เป็นอันตรายต่อผิวหนัง รังสีที่แผ่กระจายจากดวงอาทิตย์ ประกอบด้วยแสงต่างๆ หลายชนิดคือแสงอินฟราเรด (Infrared light) แสงที่มองเห็นได้ (visible light) และแสงอุลตราไวโอเลต (Ultrariolet light)

แสงที่มีผลต่อผิว มนุษย์มากที่สุด คือ แสงอุลตราไวโอเลต ซึ่งแบ่งตามช่วงความยาวคลื่นได้ 3 ช่วง คือ
ยูวีเอ (UVA) หรือแสงอุลตราไวโอเลตช่วงยาว เป็นแสงในช่วงความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร แสงช่วงนี้ทำให้เกิดผิวคล้ำแดดโดยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเมลานิน แต่ไม่ทำให้เกิดการอักเสบ

ยูวีบี (UVB) เป็นแสงในช่วงความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร แสงในช่วงนี้ทำให้เกิดผิวเกรียมแดด และผิวหนังอักเสบ เป็นตัวหลักที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้บ่อยขึ้น

ยู วีซี (UVC) หรือแสงอุลตราไวโอเลตช่วงสั้น เป็นแสงในช่วงความยาวคลื่น 200-290 นาโนเมตร แสงในช่วงนี้โดยมากจะถูกดูดซับโดยก๊าซโอโซนในบรรยากาศ ฉะนั้นแสงอุลตราไวโอเลตที่มาถึงโลกจะอยู่ระหว่างช่วงความยาวคลื่น 290-400 นาโนเมตร คือแสงช่วงยูวีเอและยูวีบี

เนื่องจากแสงอุลตราไวโอเลตมี อันตรายต่อผิวหนังนี่เอง ทำให้ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมกันแดดและครีมทำให้ผิวคล้ำ (Sunscreen and Suntan Preparation) เป็นสิ่งจำเป็นต่อผิวมนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตเพื่อจะป้องกันหรือลดอันตรายจากแสง และหรือช่วยให้ผิวคล้ำแดดโดยไม่มีการอักเสบหรือปวดแสบร้อน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้ผิวดูแก่ก่อนวัย

คุณสมบัติที่ดีของสาร ที่เป็นสารกันแดด
สารกันแดด (sunscreen agents) หมายถึงการที่ดูดซึมแสงอุลตราไวโอเลต แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานแสงที่อยู่ในรูปซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง คุณสมบัติที่ดีของสารกันแดด คือ
1. กรองแสงได้ทั้ง ยูวีบี และยูวีเอ อย่างน้อยควรกรองแสงช่วงยูวีบี คือช่วงความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตรได้
2. ผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย
3. จับกับผิวหนังได้ดี
4. ไม่หลุดง่ายเมื่อถูกน้ำ
5. ไม่ต้องทาบ่อย
6. มีความคงตัวดี ไม่สลายง่าย
7. ไม่เป็นสารที่มีพิษ
8. ไม่ทำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้ (non-sensitized skin)
9. ไม่ระเหยง่าย

ปัจจุบันครีมกันแดด นิยมใส่สารที่มีคุณสมบัติเป็นสารที่ป้องกันการเกิดผิวเกรียมแดด และสารที่ทำให้ผิวคล้ำแดดไว้ด้วยกัน โดยใส่ในปริมาณความเข้มข้นต่างกัน เช่น ครีมกันแดดที่ใส่สาร octyl dimethyl PABA 7% และสาร oxybenzone 3% เนื่องจากการทดลองพบว่าทำให้ได้ครีมกันแดดมีประสิทธิภาพในการป้องกันแดด (Sun Protective Factor หรือ SPF) เท่ากับ 15 ซึ่งจะป้องกันแสงอุลตราไวโอเลตในช่วงยูวีบี ได้ทั้งหมด และหากใช้สม่ำเสมอก็จะป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ค่า SPF นี้ คือจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวทนต่อแสงอุลตราไวโอเลต หลังทาครีมกันแดดแล้ว เทียบกับเวลาของผิวที่ยังไม่ได้ทาครีมกันแดดจะทนได้ เช่น โดยปกติเราทนแสงแดดได้นาน 30 นาที แต่ภายหลังทาครีมกันแดด ที่มีค่า SPF จะทนได้นาน 30 * 15 นาที ซึ่งเท่ากับ 7 ชั่วโมงครึ่ง

สารกันแดด ที่มีค่า SPF สูง จะมีประสิทธิภาพในการกันแดดได้ดีถ้ามีค่า SPF ต่ำ ก็จะมีประสิทธิภาพในการกันแดดได้น้อย เหมาะสำหรับในรายที่ต้องการให้ผิวคล้ำแดด การพิจารณาเลือกใช้ครีมกันแดดขึ้นอยู่กับชนิดของผิวหนังด้วย เช่น ในรายที่ผิวหนังไวต่อแสงแดด และเกิดผิวเกรียมแดดง่าย ต้องใช้ครีมที่มีค่า SPF สูง

ข้อดีและข้อแทรกซ้อนของการใช้ครีมกันแดด
ข้อ ดีของการใช้ครีมนี้ นอกจากจะช่วยป้องกันอันตรายจากแสงอุลตราไวโอเลตต่อผิว และช่วยไม่ให้ผิวหนังดูแก่ก่อนวัยแล้ว ครีมกันแดดยังเป็นสิ่งจำเป็นมาก สำหรับผู้มีปัญหาเรื่องฝ้า เพราะจะมีผิวหน้าซึ่งไวต่อแสงอุลตราไวโอเลต การใช้ครีมกันแดด ควบคู่ไปกับครีมป้องกันฝ้า จะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น และเหมาะสมสำหรับผู้ที่เล่นกีฬากลางแจ้ง หรือมีอาชีพเป็นครูสอนกีฬา เทนนิส ว่ายน้ำ เป็นต้น
ข้อแทรกซ้อนจากการใช้ครีมกันแดด ได้แก่ ผลข้างเคียงจากผิวหนังระคายเคือง (irritant dermatitis) ผิวหนังอักเสบจากพิษของสารเคมีร่วมกับแสงแดด (phototoxic dermatitis) และโรคแพ้โดยการสัมผัส (allergic contact dermatits) สารกันแดดพวกทำให้เกิดผลข้างเคียงได้แก่ PABA พบว่าทำให้ผิวหนังอักเสบแบบตุ่มน้ำ Glyceryl PABA ทำให้เกิดการแพ้โดยการสัมผัส ซึ่งภายหลังก็ไม่ใช้สารนี้ในครีมกันแดดแล้ว ที่สำคัญ คือ การแพ้สารกันแดดเป็นการแพ้เฉพาะรายไม่หมายความว่าจะต้องแพ้ทุกรายที่ใช้ ดังนั้นเมื่อเริ่มใช้ครีมกันแดด ควรใช้ทาในปริมาณเล็กน้อยก่อนแล้วจึงค่อย เพิ่มปริมาณการใช้ หากมีอาการแพ้เกิดขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังให้แพทย์แก้ไข และแนะนำการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว โดยไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท ครีมกันแดดมากที่สุด

สรุป
ประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อน มีปริมาณแสงอุลตราไวโอเลตมาก ความร้อนและรังสีเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยเป็นฝ้ามาก
และหน้าเป็นดวงขาว ๆ ซึ่งศัพท์ทางแพทย์เรียกว่า Pityrians ALBA (P.ALBA) สาเหตุเกิดจากความแห้งและแสงแดด
ซึ่งจะเป็นกันมากหน้าร้อน ทางป้องกันที่ดีนอกจากหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งแล้วคือการใช้ครีมกัน แดด
หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับช่วงความยาวคลื่น ก็ควรใช้ครีมกันแดดซึ่งป้องกันทั้งแสงในช่วงยูวีเอและยูวีบี ซึ่งเป็นครีมที่ใช้ได้ในทุกโอกาส
โดยเฉพาะครีมกันแดด ที่มีส่วนผสมของ octyldimethyl PABA และ oxybenzone สารทั้งสองนี้มีคุณสมบัติติดผิวได้ดี
และกันแสงแดดได้หลายช่วง สามารถทนต่อเหงื่อและไม่หลุดง่ายเมื่อว่ายน้ำ ยิ่งถ้าทาทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง แล้วจึงไปเผชิญกับแสงแดด
จะได้ผลในการป้องกันดีมากการทาครีมกันแดดให้ได้ผลดีที่สุดควรทาทุกวันแม้จะไม่ออกจากบ้าน
ถ้าเหงื่อออกมาก หรือล้างหน้า หรือเล่นน้ำก่อนช่วงเวลา 5 โมงเย็น ควรทาครีมกันแดดซ้ำใหม่

เลือกสีผมให้เข้ากับสีผิว

เบื่อกับผมสีเดิมๆ ที่ไร้ความโดดเด่น ขาดชีวิตชีวา สีเข้มจัดหรืออ่อนสว่างจนเกินไป อยากจะเปลี่ยนสีสันให้สวยในแบบแตกต่าง
และอินเทรนด์ ว่ากันว่าสีผมที่กำลังมาแรงและฮิตสุดๆของสาวๆ ทั่วโลก ที่เหล่าบรรดาแฮร์สไตลิสท์ชื่อดังทั้งหลาย
ต่างแนะนำกันก็คือ โทนสีบรูเน็ต หรือโทนสีบลอนด์เข้มนั่นเอง

โทนสีบรูเน็ตนี้ว่ากันไปแล้วเหมาะกับสาวไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสาวๆ ที่อยากเปรี้ยวแบบเปรี้ยงปร้าง
ควรเกาะติดกระแสความร้อนแรงของการทำผมสีบรูเน็ตกันโดยด่วน เพราะว่าตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหน
วงการอะไร คุณก็จะเห็นดารา นักร้อง นางแบบออกมาทำสวยด้วยผมสีบรูเน็ตกันเป็นทิวแถว
แต่ไม่ต้องกังวลไปสำหรับสาวที่กลัวว่าผิวสีของคุณจะไม่เข้ากับผมสีบรูเน็ต
เพราะไม่ว่าคุณจะมีผิวสีอะไรจะผิวทองแดง ผิวขาว ผิวเหลือง ก็สามารถทำสีโทนบรูเน็ตได้

ลองมาเช็คกันก่อนซิว่าผิวสีของคุณเหมาะกับผมสีบรูเน็ตหรือไม่?

สาวผิวขาวอมชมพู (Fair Skin Tones)
1.ถ้าคุณสาวๆ ยังไม่แน่ใจว่าผิวพรรณของตนเองนั้นเข้าข่ายเป็นสาวผิวขาวอมชมพูหรือเปล่า ให้ช่างทำสีผมเป็นคนตัดสินใจแทนคุณดีกว่าว่าคุณเป็นสาวผิวสีประเภทไหนกันแน่

2.สาวผิวขาวอมชมพูเข้ากันได้ดีกับผมสีบรูเน็ตเฉดน้ำตาลอุ่น ผมโทนนี้จะช่วยสร้างกรอบให้ใบหน้าและช่วยปรับให้ใบหน้าดูอ่อนโยนขึ้น

3.โทนสีน้ำตาลอุ่นนั้นมีมากมายให้เลือกหลายเฉด ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาลน้ำผึ้ง สีน้ำตาลทองแดง หรือแม้แต่สีน้ำตาลมะฮอกกานีที่จะช่วยทำให้ใบหน้าไม่ดูจืดชืดจนเกินไป และช่วยขับให้ผิวนวลกระจ่างดูมีสีเลือดฝาด

4.หลีกเลี่ยงเฉดสีบรูเน็ตที่มีสีค่อนข้างเข้ม เพราะจะยิ่งทำให้ผิวพรรณของคุณดูซูบซีดเหมือนผีดิบ

5.สีที่จะทำไฮไลท์ให้ผมโทนสีบรูเน็ตดูโดดเด่นได้ ต้องเป็นสีทองบลอนด์หรือสีทองแดงอ่อนๆ เท่านั้น

6.ถ้าคุณวางแผนจะเปลี่ยนสีผมเองที่บ้าน พยายามเลือกซื้อสีบรูเน็ตโทนอุ่น เฉดน้ำตาลทองแดง หรือน้ำตาลมะฮอกกานีให้ได้ อย่าคิดที่จะพยายามผสมสีขึ้นเอง หากคุณหาซื้อสีที่คุณต้องการไม่ได้



สาวผิวเหลือง (Medium Skin Tone)
1.ถ้าไม่แน่ใจในผิวสีของตัวเองว่าจะทำผมสีบรูเน็ตโทนไหนได้สวยสะเด็ดยาด ให้เดินไปถามที่ร้านทำผมที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านสีผมประจำอยู่ คุณจะได้คำตอบที่ถูกใจและมั่นใจแบบสุดๆ

2.ผิวสีขาวเหลืองเหมาะเหม็งแบบสุดๆ กับผมสีบรูเน็ตเฉดเชสนัท จำไว้ให้ดี

3.ถ้าไม่อยากทำสีผมโทนเดียวโดดๆ ดูเชยจนเกินไป มามิกซ์แอนด์แมทช์จับคู่สีทำไฮไลท์ให้เส้นผมสีน้ำตาลเชสนัทกันด้วยสีไฮไลท์ แบบสีทอง รวมไปถึงสีทองเหลืองก็ดูเข้ากันดีอย่าบอกใคร

4.ถ้าคุณมีปัญหากังวลใจว่าผมสีบรูเน็ตที่ช่างทำสีผมเลือกให้จะไม่ถูกใจ ลองตัดภาพนางแบบที่มีโทนสีผมที่คุณต้องการไปให้ช่างทำสีผมพิจารณาถึงความ เป็นไปได้ดู จะได้ถูกใจทั้งเจ้าของเส้นผมและช่างทำสีผม

5.หากคุณเลือกที่จะทำสีผมเองที่บ้าน ลองมองหาผลิตภัณฑ์ทำสีผมโทนน้ำตาลทองปานกลาง หรือสีน้ำตาลเชสนัท หากเลือกสีที่ผิดเพี้ยนไปจากนี้ เช่น สีโทนอ่อนกว่านี้ผิวคุณจะดูคล้ำขึ้นแต่หากเลือกสีที่เข้มกว่านี้ผิวคุณจะขาว ซีดจนเกินงาม



สาวผิวเข้ม (Dark Skin Tone)
1.สาวผิวเข้มทั้งหลายอย่าน้อยใจว่าจะไม่เข้ากับผมสีบรูเน็ต รู้ไหมว่าสาวผิวเข้มเหมาะมากกับผมสีน้ำตาลแท้
ที่เรียกว่าน้ำตาลบริสุทธิ์ไม่ ต้องมีสีอะไรมาเจือปนเลย

2.โทนสีบรูเน็ตที่เข้มกว่าสีน้ำตาลโดยทั่วไปก็เข้ากันได้กับสาวผิวสีเข้มเช่นกัน
ลองคิดถึงเนื้อไม้สีน้ำตาลเข้มว่าให้ความรู้สึกอบอุ่นขนาดไหน

3.สีน้ำตาลเซเบิลกับสีน้ำตาลช็อกโกแลตก็เหมาะกับสาวผิวนี้เช่นกัน สีสองเฉดนี้จะช่วยขับให้ผิวเข้มๆ ของคุณดำไม่ด้านทึบ
แต่จะช่วยขับให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้

4.เพิ่มความเป็นไปได้ในการเล่นสีกับผมให้สนุกยิ่งขึ้น ด้วยการเติมสีทองเหลืองเป็นไฮไลท์ลงไปตามช่อผม
จะช่วยให้ผมดูมีมิติและมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

5.สาวผิวเข้มพึงระวังกับการใช้สีโทนบรูเน็ตที่อ่อนจนเกินไป เพราะผมสีอ่อนมากจะทำให้ผิวของคุณดูเข้มมากว่าความเป็นจริง ไม่อยากกลายเป็นสาวผิวดำสนิท อย่าริทำผมสีบรูเน็ตเฉดอ่อนเด็ดขาด

Dangerous Tree


This plant that we have in our homes and offices is extremely dangerous!
This plant is common in Rwanda , in many offices and in homes. It is a deadly poison, mainly for the children. It can kill a kid in less than a ! minute and an adult in 15 minutes. It should be uprooted from gardens and taken out of offices. If touched, one should never touch ones eyes; it can cause partial or permanent blindness

Friday, July 16, 2010

กินอาหารเช้าเป็นมื้อหนักทุกวันช่วยให้ลดน้ำหนักได้



คนอ้วนที่ต้องการให้น้ำหนักตัวลดลง ให้กินอาหารเช้าเป็นมื้อหนักทุกวัน เพราะการกินอาหารเช้าเพียงเล็กน้อย
จะทำให้หิวมากในมื้อกลางวัน และทำให้กินมากขึ้น ซึ่งการกินมากเกินไปเพราะความโหย เป็นสาเหตุให้น้ำหนักเพิ่ม
เคยมีการทดลองกับผู้หญิงที่อ้วนเกินปกติ และไม่ค่อยกระฉับกระเฉง จำนวนเกือบร้อยคน
ให้กินอาหารเช้าที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำเป็นมื้อหนัก เป็นเวลา 4 เดือน
ได้ผลว่า การกินอาหารเช้าเป็นมื้อหนัก ช่วยให้ผู้หญิงเหล่านี้น้ำหนักตัวลดลงโดยเฉลี่ยถึง 1 ใน 5

นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ที่กินอาหารเช้ามื้อหนักๆ จะรู้สึกหิวข้าวน้อยกว่า โดยเฉพาะตอนมื้อเช้า และยังอิ่มไปถึงเกือบจะทั้งวันอีกด้วย
อาหารเช้ามีความสำคัญกับผู้ที่ควบคุมอาหารจริง หากเรางดอาหารเช้า หรือกินในปริมาณน้อย แค่กาแฟ กับ ขนม
ซึ่งทำให้หิวในเวลารวดเร็ว เราก็จะต้องกินมื้อกลางวันในปริมาณมากขึ้น และถ้าหิวระหว่างมื้อ จะกินขนมขบเคี้ยวต่างๆ
ซึ่งล้วนแต่อุดมด้วยไขมันและน้ำตาลมาก ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น และเต็มไปด้วยไขมันส่วนเกินตามร่างกาย

ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง



ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลือง และสีเหลืองเข้ม

ผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย คือ

1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง คือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทรา แอปเปิล

ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรก คือ

1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซีและวิตามินอีน้อย คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซีและวิตามินอีค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี

เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ
เป็นสาเหตุการเกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี

10 ข้อควรรู้เพื่อสุขภาพดี



1.มีผลไม้ในตู้เย็นตลอดเวลา ผักผลไม้ที่ควรมีในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้มแอปเปิ้ล
ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์มากสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วนแล้ว
การรับประทานผักผลไม้เป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

2.เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้า การบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปากได้
เนื่องจากสารโพลีฟีนอลจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของฟันผุ
ส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหาร ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3.ดื่มน้ำมากขึ้น ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50 %

4.เปลือยเท้าคลายเครียด การย่ำเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่มๆจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
เนื่องจากการเดินเท้าเปล่าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5.รับแสงแดดอ่อน ๆ มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดด มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านม
มากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดด เนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกาย
แต่การโดนแดดจัดในช่วงเที่ยงถึงบ่าย ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแสงแดดอ่อนๆในช่วงเย็นจะดีกว่า

6.รับประทานขนมปังโฮลวีทสำหรับมื้อว่างยามบ่าย แทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลตซึ่งเพียบด้วยแคลอรี่
เปลี่ยนมากินขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่น ซึ่งให้พลังงานแล้วยังไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย

7.สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำ ใครที่รู้ตัวว่าเริ่มจะหลงๆลืมๆ ลองหันมากินสลัดปลาทูน่าหรืออาหารเมนูปลา
รวมทั้งเพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี 2 เช่น ไข่ นมถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8.การเดินเร็วๆ ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง คนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่
ลองใช้วิธีเดินให้เร็วขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้าย
หรือเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ การเดินเร็วให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรง
และยังทำให้หุ่นเพรียวสวยไร้ไขมันส่วนเกินอีกด้วย

9.เติมไขมันดีๆ ให้ร่างกาย ไขมันนั้นไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพระไขมันมีอยู่หลายชนิด มีทั้งไขมันที่ไม่ดี ซึ่งทำให้เกิดโรค แต่มี
ไขมันบางชนิดที่ดีต่อร่างกายร่างกาย ซึ่งหากร่างกายขาดแคลนไขมันชนิดดี อาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค
และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว
และไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ที่ไม่เพียงให้พลังงานทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10.พักผ่อนบ้าง ลองหยุดภารกิจวุ่นๆ สักสัปดาห์ละ 1 วัน หรือวันละ 1 ชั่วโมง ให้ปลอดจากเรื่องงานและคนรอบข้าง
ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพังจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจ อาจจะฟังเพลงสบายๆ
หรืออาบน้ำอุ่นๆ แล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อยๆจิบน้ำชา หรือจัดสวน ดูดอกไม้ เพื่อเป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจ
ทำให้คุณสดชื่นและมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกลจากโรคความรีบร้อน
โรคที่ทำให้คุณตื่นตัวและเร่งรีบ จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

ดื่มน้ำผลไม้ให้ได้คุณค่า ..เต็มๆ

ผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายฉันใด น้ำผลไม้ก็ย่อมมีคุณค่าต่อร่างกายด้วยเช่นกัน แต่จะดื่มน้ำผลไม้ให้ได้ประโยชน์เต็มที่ก็ต้องมีเทคนิควิธีกันหน่อย

มาตั้งต้นกันที่ความรู้พื้นฐานว่าด้วยคุณค่ามหาศาลของผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ไทย ๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายชนิดตามฤดูกาล การรับประทานแบบหมุนเวียนเปลี่ยนประเภทผลไม้ไปเรื่อย ๆ ก็จะทำให้ร่างกายได้รับเกลือแร่และวิตามินชนิดต่างๆ รวมทั้งเป็นการหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษซ้ำซากที่อาจปนเปื้อนมากับผลไม้แต่ละ ชนิด นอกจากนี้การรับประทานผลไม้ที่ออกตามฤดูกาลก็จะทำให้ผลไม้มีราคาถูก ได้ประโยชน์แถมประหยัดอีกต่างหาก

ผลไม้ยังเป็นแหล่งอันอุดมของใยอาหาร ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย โดยเฉพาะสารปนเปื้อนในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน เมื่อถูกขับถ่ายอย่างเป็นระบบก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ได้ชะงัด

อันดับต่อไปที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องของ ปริมาณ เรื่องนี้สำคัญอย่างไร ผศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลไม้กับสุขภาพ พร้อมระบุxxxส่วนสารอาหารจากผลไม้ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน ว่าอยู่ที่ 3-5 ส่วน แตกต่างกันตามแต่ละช่วงวัย คือ

วัยเด็ก ต้องการพลังงานวันละ 1,600 กิโลแคลอรี ควรรับประทานผลไม้วันละ 3 ส่วน ขณะที่ หญิงวัยทำงานและผู้สูงอายุ ควรรับประทานวันละ 4 ส่วน วัยรุ่นและชายวัยทำงาน ต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี ควรรับประทานผลไม้วันละ 4 ส่วน

ผู้ที่ต้องใช้พลังงานมากๆ เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน หรือนักกีฬา ต้องการพลังงานวันละ 2,400 กิโลแคลอรี ควรรับประทานผลไม้วันละ 5 ส่วน

โดยผลไม้ 1 ส่วน หรือหนึ่งหน่วยบริโภค หมายถึง ปริมาณของผลไม้ที่ให้คาร์โบไฮเดรต 15 กรัม และพลังงานประมาณ 60 กิโลแคลอรี ซึ่งผลไม้ 1 ส่วนจะมีปริมาณและน้ำหนักที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้
มาว่ากันด้วยเรื่อง น้ำผลไม้ ซึ่งในที่นี้หมายถึงน้ำผลไม้ 100% ซึ่งคั้นมาจากผลไม้สดชนิดต่าง ๆ ที่จะให้สารอาหารใกล้เคียงกับการรับประทานผลไม้สด แต่สิ่งที่ขาดไปก็คือใยอาหาร ซึ่งอยู่ในเนื้อผลไม้ และถูกกำจัดไปโดยการคั้นแยกกากนั่นเอง

น้ำผลไม้ 1 ส่วน มีปริมาตรเท่ากับ 120 มิลลิลิตร หรือประมาณ 1/2 ถ้วยตวง ดังนั้น ผู้ที่ควรรับประทานผลไม้วันละ 3 ส่วน เมื่อรับประทานน้ำผลไม้ 1 ส่วนแล้ว จะเหลือผลไม้สดที่ควรรับประทานได้อีก 2 ส่วน เนื่องจากน้ำผลไม้ไม่มีใยอาหารหรือมีเหลืออยู่น้อยมาก ฉะนั้นการดื่มน้ำผลไม้คั้นสด โดยไปลดการรับประทานผลไม้สดจะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารน้อยลง

ในทางตรงกันข้าม ถ้าดื่มน้ำผลไม้ในปริมาณมาก ๆ โดยยังรับประทานผลไม้สดในปริมาณเท่าเดิม ก็จะทำให้ได้รับน้ำตาลและพลังงานเพิ่มขึ้น ทว่า การได้รับพลังงานเพิ่มมากขึ้นโดยที่ร่างกายใช้พลังงานที่สร้างจากน้ำตาล เหล่านี้ไม่หมด น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนสภาพกลายเป็นไขมันพอกพูนและเก็บไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามมา แถมน้ำตาลในผลไม้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วกว่าการรับประทานผลไม้สด เพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย น้ำตาลที่เป็นอิสระเหล่านี้จึงถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็วทันใจ ด้วยเช่นกัน

สำหรับ น้ำผลไม้กล่อง ผู้บริโภคต้องอ่านฉลากข้างกล่องเพื่อดูว่ามีปริมาณน้ำตาลมากน้อยเพียงใด และต้องจำไว้เสมอว่าจำนวนส่วนของผลไม้แปรเปลี่ยนได้ตามปริมาณของน้ำตาล (คาร์โบไฮเดรต) ที่มีอยู่ ดังนั้น น้ำผลไม้กล่องที่ซื้อมาขนาด 120 มิลลิลิตร อาจไม่เท่ากับ ผลไม้ 1 ส่วน คืออาจมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 15 กรัม ก็ได้

ดังนั้น ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้มีน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้ว ทางที่ดีควรหันไปรับประทานผลไม้สด และเลือกชนิดที่มีรสชาติไม่หวานจัด พึงหลีกเลี่ยง กล้วยสุก ขนุน น้อยหน่าหนัง มะม่วงสุก ลองกอง ลิ้นจี่ ชมพู่ และ แก้วมังกร รวมทั้งเลือกผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ซึ่งจะทำให้รับประทานได้ในปริมาณที่มากกว่า ได้รับใยอาหารและช่วยให้อิ่มท้องได้นานกว่าด้วย

จะได้ไม่ต้องมานั่งสงสัยกันทีหลังว่า กินผลไม้ก็แล้ว ดื่มน้ำผลไม้ก็แล้ว ทำไมยังอ้วนเอา ๆ ....

แผนกำจัดเซลลูไลท์


ผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์ นับเป็นอุปสรรคของผิวสวย ไม่ว่าจะเป็นสาวหุ่นเกินพิกัด หรือสาวที่มีรูปร่างได้มาตรฐานทั่วไป ที่ร้ายสุด ๆ เห็นทีจะเป็นตอนที่ลอนไขมันขรุขระนั้น ปรากฏเป็นคลื่นชัดเจนเมื่อคุณเคลื่อนไหวร่างกาย หรือในเวลาที่กล้ามเนื้อเกิดการยืดตัว เช่น ขณะที่นั่งไขว่ห้าง เป็นต้น

และเมื่อวัยเพิ่มขึ้น ริ้วไขมันที่หนาขึ้นเรื่อย ๆ นี้ จะกำจัดได้ยาก และต้องใช้เวลานาน เนื่องจากเซลลูไลท์ที่ดูเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำนี้ จะมีเปลือกเหนียว ๆ หุ้มอยู่ ภายในเต็มไปด้วยไขมัน น้ำเสียและสารพิษสะสมที่ตกค้างมาจากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปอย่างไม่ถูก สุขลักษณะ รวมทั้งขาดการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานาน ๆ

ถ้าหากคุณนึกรังเกียจเซลลูไลต์ มีคำแนะนำพร้อมวินัยอย่างเคร่งครัดดังนี้

รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโดยด่วน การรับประทานจุบจิบ ชอบอาหารจำพวกที่มีไขมันสูง ของทอด ของมัน ขนมหวาน น้ำอัดลม กาแฟ ช็อกโกแลต จะทำให้เกิดการสะสมของก้อนไขมัน พร้อม ๆ กับสารพิษที่สะสมตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ผัก และผลไม้ที่ไม่ทำให้อ้วนมากดีกว่า

ออกกำลังกายเสียบ้าง แน่นอนว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะได้เหงื่อซึ่งเป็นของเสียที่ถูกขับออกจากร่างกาย ชั้นไขมันที่เกาะตัวหนาก็จะแตกตัวกระจายเป็นก้อนเล็ก ๆ และในที่สุดกล้ามเนื้อจะได้รับการยืดหยุ่นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไขมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อที่แน่นกระชับแทน

ผลิตภัณฑ์กำจัดเซลลูไลท์ จำไว้เลยว่าครีมกำจัดเซลลูไลท์เพียงอย่างเดียว ไม่ช่วยทำให้ก้อนไขมันตะปุ่มตะป่ำสลายไปได้ ในชั่วระยะเวลาครีมหมดหลอด ครีมเหล่านี้เป็นเพียงตัวช่วยที่ดีเท่านั้น ด้วยครีมจะซึมผ่านผิวหนังลงสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อไปละลายไขมันส่วนเกิน ส่วนผสมของเครื่องสำอางกลุ่มนี้คือ Methylxanthines (เมทธิลแซนทีน) หรือสารสกัดที่ได้จากพืชบางชนิด ได้แก่ Theophyline ซึ่งได้จากใบชา Caffeine ได้จากกาแฟ Aminophyline ได้จากพืชบางชนิด

หากปฏิบัติได้ทั้ง 3 ข้อนี้อย่างมีวินัยและเคร่งครัด รับรองได้ว่า เซลลูไลท์ไม่มาเยือนคุณแน่นอน

Thursday, July 15, 2010

22 Tips เผาผลาญแคลอรี่

1.หากอยากกินขนม ให้ดื่มน้ำแทน เอาให้อิ่มไปเลย
2.พยายามให้ตู้เก็บอาหารของเราว่างเปล่า เพื่อจะไม่ได้มีสิ่งยั่วยวนให้เราตบะแตก
3. ติดรูปนางแบบ หรือ นายแบบ ที่เราฝันอยากจะเป็น เพื่อสร้างแรงจูงใจ ในการลดความอ้วน
4.กินของที่มีรสชาติร้อนแรง เช่น พริกป่น ขิง ซอสพริก จากรายงานของ มหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น พบว่ามันจะกระตุ้นการเผาผลาญแคลอรีได้ประมาณ 25%
5.หลับเพื่อลดความอ้วน เมื่อคุณหลับโอกาสที่จะหาของกินย่อมมีน้อยลง
6.เป็นนักช็อปที่ฉลาด มีรายชื่อข้าวของที่คุณต้องการที่จะซื้อ และให้ซื้อเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดกิเลสไปซื้อของอ้วนๆมากิน
7.กินข้าวเช้าเถอะที่รัก เพราะมันจะไม่ทำให้คุณหิวมากตอนช่วงกลางวัน
8.ฟังเพลงที่มีสุนทรียรส (พวกเพลงอกหัก อย่าฟัง) นักวิจัยพบว่า สมองเราทำงานเมื่อเวลาฟังเพลงดีๆ
เหมือนกับตอนที่เราได้กินอาหารที่ชอบ
9.อย่ากินจนกว่าจะนั่ง
10.ดื่มชาเขียว มหาวิทยาลัยสวิสเซอร์แลนด์พบว่าการดื่มชาเขียวจะช่วย เผาผลาญแคลอรี พยายามดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน
11.เวลากินก็สนใจในสิ่งที่ตนเองกิน หากตอนที่เราดูทีวี อ่านหนังสือ หรือดู internet ก็อย่ากิน
12.พยายามหาเวลาไปเดิน เพราะนอกจากจะช่วยเผาผลาญแคลอรีแล้ว แสงแดดยังช่วยทำให้ลดความอยากอาหารด้วย
13.พยายามหมั่นแปรงฟัน เพราะมันช่วยลดความอยากของคุณได้
14.กินพออิ่ม เหลือก็ช่างมันเถอะ อย่าเสียดาย ให้คิดเสียว่าหากกินเข้าไป เวลาจะลด อาจจะเสียเงินมากกว่า
15.อย่าใจร้อนจะลดความอ้วนภายในพริบตา เพราะนอกจากมันจะทำไม่ได้แล้ว คุณจะเสียกำลังใจไปเปล่าๆ
16.เดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์

17.ซื้อเชือกกระโดด มันเป็นการออกกำลังกายที่ดี และไม่เปลืองที่อีกด้วย
18.บริหารก้น เมื่อคุณยืนรอรถเมล์ หรือ นั่งทำงาน ลองพยายามเกร็งกล้ามเนื้อที่ก้นแล้วก็คลาย
มันไม่เพียงแต่ทำให้ก้นคุณกระชับ แต่มันยังทำให้เราผ่อนคลายด้วย
19.ไปซื้อดัมเบลล์มาเล่นที่บ้าน เวลาว่างก็เอามันมายกขึ้นยกลง
20.ลองขึ้นบันได้ทีละสองขั้น
21.บ้านไหนมีสวน ก็ไปขุดดิน ตัดหญ้าบ้าง เอาแคลอรีออกไป
22.ไปซื้อวิดีโอออกกำลังกาย เปลี่ยนบ้านให้เป็น ฟิตเนสเลย

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 6

วันที่ 1
เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน - ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น - สลัดผัก

วันที่ 2
เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน - ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น - โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 3
เช้า - กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน - เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
เย็น - สับปะรด 1 ชิ้น

วันที่ 4
เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟและขนมปัง 1 แผ่น
กลางวัน - สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น - โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 5
เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน - ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น - สลัดผัก

วันที่ 6
เช้า - น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน - ปลานึ่ง หรือ ปลาเผาไม่จำกัด
เย็น - นมสด 1 แก้ว

วันที่ 7
เช้า - ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1 ฟอง
กลาง วัน - เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
เย็น - สับปะรด 1 ชิ้น

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 5 เน้นผัก ปลา ผลไม้

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 5

วันที่ 1
เช้า ชา กาแฟ น้ำส้ม ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง ผักต้ม ผลไม้ น้ำเปล่า
กลางวัน ชา กาแฟ น้ำส้ม ปลานึ่ง ผักต้ม ขนมปังปิ้ง น้ำเปล่า
เย็น ผักต้มต่าง ๆ เนื้อย่างหรือนึ่ง น้ำส้ม น้ำเปล่า

วันที่ 2
เช้า น้ำส้ม นมสด ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง ผลไม้ น้ำเปล่าเยอะ ๆ
กลางวัน น้ำส้ม ขนมปังกรอบ ผักสดจิ้มน้ำจิ้ม ผลไม้ ยำผักต่าง ๆ
เย็น น้ำส้ม เนื้อปลานึ่ง ผลไม้ นมสด

วัน ที่ 3
เช้า น้ำส้ม นมสดแก้วเล็ก ขนมปังปิ้ง ผลไม้ โยเกริ์ต
กลางวัน น้ำส้ม ขนมปัง ไข่ต้ม ผักต้มหรือยำผัก ส้มตำ ปลา/เนื้อนึ่ง ผักต้ม
เย็น
น้ำส้ม น้ำเปล่า ผลไม้ นมสด

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 4

วันที่ 1
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ส้มโอ 1/2 ผล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ถั่วเหลืองในซอสมะเขือเทศ
มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ปลาทูน่า 4 ออนซ์ ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น ถั่วฝักยาวต้ม 4 ออนซ์ (ประมาณ 115 กรัม) ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์

วันที่ 2
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง กล้วยหอม 1/2 ผล
มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Coltage Cheese (คล้าย โยเกิร์ต) ของโฟร์โมสต์ 120 กรัม
มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น บร็อคคอลรี่ต้ม 4 ออนซ์ แครอทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ กล้วยหอม 1/2 ผล

วันที่ 3
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Cheddar Cheese 1 แผ่น แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล
มื้อกลาง วัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง
มื้อเย็น : ปลาทูน่า 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ ดอกกระหล่ำต้ม 4 ออนซ์ แคนตาลูป 1/2 ผล

หมายเหตุ
• แคร๊กเกอร์ต้องเป็นรสเค็ม
• ปลาทูน่าและถั่วฝักยาวอาจแช่แข็งได้
• ขนมปัง ให้ปิ้งจนแห้ง ไม่ทาอะไรเลย
• เนื้อ – ต้องไม่ติดมัน นึ่งหรือย่างเท่านั้น
• ผัก – จะต้มจิ้มน้ำจิ้ม หรือยำก็ได้ เช่น แครอท ดอกผักกาด
• ดื่มน้ำ เปล่าเยอะๆ หรือ ดื่มน้ำส้ม
• โยเกิร์ต ทานครั้งละถ้วยเล็ก ๆ ต่อวัน
• ผลไม้ เช่น ส้ม สับปะรด แคนตาลูป แอปเปิ้ล กล้วย
• เครื่องดื่ม ต้องไม่ใส่น้ำตาล
(4 ออนซ์ = 100 กรัม = 1 ขีด)

สูตรลดความอ้วน 9 กิโลกรัม ภายใน 2 สัปดาห์

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 3

สูตรลดความอ้วน 9 กิโลกรัม ภายใน 2 อาทิตย์

วันที่ 1
เช้า...ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้าตาล
กลางวัน... ไข่ต้มสองลูก+ผักต้ม
เย็น...สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้

วันที่ 2
เช้า...ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้าตาล+ขนมปังโฮลวีตปิ้ง 1 แผ่น
กลางวัน... สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้+สลัดผักเขียวและผลไม้
เย็น...แฮม แผ่นต้มปริมาณเท่าไรก็ได้ตามใจ

วัน ที่ 3
เช้า...ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้าตาล+ ขนมปังโฮลวีตปิ้ง 2 แผ่น
กลาง วัน...ไข่ต้ม 2ฟอง+สลัด+แครอท
เย็น...แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าไรก็ได้ตามใจ

วันที่ 4
เช้า...ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้าตาล+ขนมปังโฮลวีตปิ้ง 1 แผ่น
กลางวัน..ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
เย็น...ผลไม้และโยเกริ์ตรสธรรมชาติ

วันที่ 5
เช้า...ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้าตาล
กลางวัน...ปลาเผาหรือปลาย่างกับผัก ต้ม
เย็น...สเต็กหรือเนื้อย่างไม่ติดมัน+สลัดผัก สดน้ำใส

วันที่ 6
เช้า...ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้าตาล
กลางวัน...ไก่ย่างไม่ติดหนัง
เย็น..ไข่ต้มสองฟองและ แครอทต้ม

วันที่ 7
เช้า...กาแฟหรือชาบีบมะนาว ไม่ใส่น้ำตาล
กลางวัน...ผลไม้อะไรก้ได้ในปริมาณที่ต้องการ
เย็น..อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากกิน[ไม่จำกัดปริมาณ]

เมื่อทานครบทั้ง 7 วันก็ให้เริ่มวันที่ 8 โดยย้อนกลับไปใหม่ ถ้าทำได้ตามสูตรเป๊ะ โดยไม่ดื่มน้ำอัดลม+แอลกอฮอลล์ จะลดความอ้วนได้ 9 กก.ใน 2 อาทิตย์ โดยไม่เกิดปฏิกิริยาโยโย่ ซึ่งพอหยุดแล้วอ้วนขึ้นมากกว่าเก่า

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 2

วันที่ 1
เช้า กาแฟ หรือ ชา ไม่ใส่น้ำตาลและครีมเทียม 1 ถ้วย
ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น (โฮลวีทได้ก็จะดีมาก)
ถั่ว baked bean 120 กรัม (ถั่วในซอสมะเขือเทศ)
ส้ม 1 ลูก
กลางวัน กาแฟ หรือชา 1 ถ้วย
ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
ปลาทูน่า 120 กรัม

เย็น ถั่วฝักยาวต้ม 120 กรัม
บีทรูท หรือ แครอท ต้ม 120 กรัม
แฮมไก่ 2 แผ่น (หมูไม่ได้)
ไอศกรีม วานิลา 1 ถ้วยเล็ก

วันที่ 2
เช้า กาแฟหรือ ชา 1 ถ้วย
ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
ไข่ต้ม 1 ฟอง
กล้วยหอม 1/2 ผล
กลางวัน แครกเกอร์แบบเค็ม 5 แผ่น
ชีส low fat 1 แผ่น (อาจเปลี่ยนเป็น โยเกิร์ตรสธรรมชาต)

เย็น บล๊อคโครี่ กับแครอท ต้ม อย่างละ 120 กรัม
แฮมไก่ 2 แผ่น
กล้วยหอม 1/2 ผล
ไอศกรีม วานิลา 1 ถ้วยเล็ก

วันที่ 3
เช้า กาแฟหรือ ชา 1 ถ้วย
แครกเกอร์ เค็ม 5 แผ่น
ชีส low fat 1 แผ่น
แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล

กลางวัน กาแฟหรือชา 1 ถ้วย
ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
ไข่ต้ม 1 ลูก

เย็น ดอกกะหล่ำต้ม กับ แครอท อย่างละ 120 กรัม
ทูน่า 120 กรัม
แตงไทย หรือ แคนตาลูป 1 ชิ้น
ไอศกรีมวานิลา 1 ถ้วยเล็ก

สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 1

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 1

สูตรนี้ถ้าปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และไม่โกงตัวเอง รับรองว่าจะลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 5 กิโลกรัมโดย 3 วันแรกลดได้ถึง 3 กิโลกรัม
ข้อห้าม งดเหล้า ไวน์ น้ำหวาน น้ำอัดลมทุกชนิด ชา กาแฟ ได้นิดหน่อย แต่ห้ามใส่น้ำตาล
ห้ามรับ ประทานถั่ว ,ข้าวโพด ทุกชนิด

วันแรก รับประทานผลไม้ทุกมื้อ โดยเฉพาะแตงทุกชนิด เพราะมีแคลอรีต่ำ (ยกเว้นแตงกวา) ไม่มีแป้ง น้ำตาล (ส่วนอย่างอื่นงด)

วันที่ 2 จะเป็นผักทุกชนิด เช่น สลัดผัก มันฝรั่งนึ่งหรือเผา 1 หัว ใส่เนยก้อนเล็กๆเกลือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศเพิ่มรสชาติ
หรือจะดัดแปลงเป็นอาหารไทย เช่น เห็ดผัดกับน้ำพริกแกง,น้ำพริกเผา ช่วยให้ไม่เบื่ออาหาร (ที่สำคัญอย่างอื่นต้องงดเช่นเดียวกัน)

วันที่ 3 ผักและผลไม้ ผสมกันรับประทานได้ทั้งวัน

วันที่ 4 กล้วยหอม 3 ใบ แบ่งรับประทานมื้อละ 1 ใบ ตามด้วยนมพร่องไขมัน มื้อละ 1 แก้ว

วันที่ 5 กินเนื้อสัตว์ได้ 10-20 กรัม (ประมาณชิ้นหรือสองชิ้นเล็กๆนั่นแหละ) กินกับมะเขือเทศ 6 ลูก
โดยน้ำไปอบ หรือย่าง แล้วลอกเปลือกออก แบ่งรับประทานเป็น 2-3 มื้อก็จะดี

วันที่ 6 กินได้ทั้งเนื้อปลา ไก่ เนื้อ ทั้ง 3 มื้อ แค่พออิ่ม โดยกินอาหารนี้กับสลัดผัก

วันที่ 7 วันสุดท้ายแล้ว ให้เป็นข้าวซ้อมมือ กับผัก (ไม่มีเนื้อสัตว์) แนะนำให้นำข้าวไปคลุกน้ำปลา หรือผัดกับน้ำพริกเผา
โดยการผัดร้อนๆ จะใส่ผักลงไปด้วยก็ได้ แต่ห้ามใส่เนื้อสัตว์ เด็ดขาด

เมื่อครบ 7 วัน กลับไปเริ่มเหมือนวันแรก และทำติดต่อกันเหมือนเดิมตลอดสัปดาห์
ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกสัปดาห์ หรือจะเสริมด้วยซุปที่กินได้ทุกวัน (ยกเว้นวันแรก)

ซุปสูตรลดความอ้วน
ประกอบด้วย
เซลอรี 1 ต้น
กะหล่ำปลี
หอมหัวใหญ่ 6 หัว
พริกยักษ์ 1 เม็ด
มะเขือเทศ 4 ลูก

หั่นใส่รวมกัน ใส่น้ำพอท่วมผัก เติมพริกไทย เกลือ ซอสพริก เพื่อเพิ่มรสชาติ ต้มจนเปื่อย

วิตามินอี และอนุพันธ์ของวิตามินอีกับผิว

วิตามินและการมีสุขภาพดีเป็นที่กล่าวกันมานาน ส่วนวิตามินกับเรื่องความสวยงามมีการศึกษาวิจัยและมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า การใช้วิตามินในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันและซ่อมแซมการสึกหรอของเส้นผม ผิว และเล็บได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินช่วยป้องกัน ช่วยยืดเวลาและยับยั้งการเสื่อมสภาพของผิว ช่วยชลอความแก่ ช่วยลดการเกิดริ้วรอยตีนกา วิตามินที่เป็นส่วนผสมในครีมและโลชั่นทาผิวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในการ บำรุงผิว ซึ่งเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของวิตามินเอง วิตามินที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในเครื่องสำอางได้แก่ วิตามินอี,เอ,ซี,แพนทีนอล(provitamin B5) และอนุพันธ์ของแพทีนอล วิตามินที่กล่าวมานี้ มีคุณสมบัติแทรกซึมลงไปในผิวหนัง แพนทีนอลและวิตามินอี จะแทรกซึมลงไปในเส้นผมและเล็บได้ เมื่อใช้ในปริมาณที่พอเหมาะและมีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้ ในเรื่องของผิววิตามินอี จะมีบทบาทและคุณบัติหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อผิว จึงเป็นที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง จากการศึกษาอย่างกว้างขวาง สรุปผลว่า วิตามินอี นอกจากจะเป็นสารบำรุงทำให้ผิวชุ่มชื้นแล้ว ในรูปของเอสเตอร์จะช่วยลดการอักเสบของผิวและช่วยป้องกันอันตรายที่เกิด จากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต ในธรรมชาติวิตามินอีจะอยู่ในรูป tocopherol โดยตำแหน่ง อัลฟ่า tocopherol จะให้คุณสมบัติทางชีววิทยาสูงสุด คือมีประสิทธิภาพสูงสุด วิตามินอีในรูปที่ไม่ได้เป็นเอสเตอร์ จะพบใน wheat germ oil และน้ำมันจากพืชอื่น ๆ และมีคุณสมบัติเป็น antioxidant วิตามินอีในรูปของวิตามินอีอะซีเตต มีคุณสมบัติดีที่สุดในการรักษาอาการขาดวิตามินอีโดยการกิน ทั้งนี้เพราะวิ ตามินอีอะซีเตต มีความคงสภาพต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น
ได้ดีกว่าวิตามินอีแบบอิสระ ในทางเครื่องสำอางวิตามินอีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ทั้งรูปที่เป็นแอลกอฮอล์ และอะซีเตต วิตามินอีอะซีเตตในปริมาณสูง จะพบบริเวณชั้น stratum corneum
และบริเวณชั้นของผิวหนัง สำหรับเส้นผมวิตามินอีจะถูกดูดซึมโดยตรงบริเวณ hair cortex


วิตามินอีและอนุพัธ์ของวิตามินอี มีคุณสมบัติ antioxidant ซึ่งจะไป neutralized การเกิด free radicals โดยการไปเพิ่ม electrons ใน cell membranes ดังนั้นวิตามินอีเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลรักษาผิว มีการศึกษาวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าวิตามินอี ช่วยลด psoriasis erythema และช่วยลดการเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนัง ช่วยรักษาแผลเป็น และช่วยลดริ้วรอยบนผิว
นอกจากนี้อนุพัธ์ของวิตามินอี เช่น alpha tocopherol acetate มีคุณสมบัติในการเกิด free radical ซึ่งจะไปทำลาย DNA ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั้งครีมและโลชั่นบำรุงผิว จะนิยมใช้ alpha tocopherol acetate มากกว่าส่วนผสมของ alpha tocopherol, beta tocopherol, gamma tocopherol และ delta tocopherol ซึ่งส่วนผสมของอนุพันธ์ tocopherol ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น โลชั่นบำรุงผิวจะใช้ร่วมกับวิตามินอีในระดับความเข้มข้นสูงตั้งแต่ 5% ขึ้นไป
การศึกษาทางด้านคลีนิก (Vitamin E clinical Studied) พบว่าในการใช้วิตามินอีสามารถดูดซึมทางผิวหนังโดยไม่ต้องถูกเปลี่ยนเป็น free alpha tocopherol
ในการศึกษาประสิทธิภาพของครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีในผู้หญิง จำนวน 20 คน อายุระหว่าง 42-64 ปี พบว่า ครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ทดสอบที่ใช้ครีมมีส่วนผสมของวิตามินอี ทาบริเวณ eyelid เทียบกับครีมที่ไม่มีส่วนผสมของวิตามินอี พบว่าช่วยทำให้ผิวเรียบและลดริ้วรอย

วิตามินอี จำแนกตามคุณสมบัติได้ดังนี้

1. การเป็นสาร antioxidant วิตามินอีเป็นสาร antioxidant ได้เพราะสามารถยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของ lipid ชนิดไม่อิ่มตัว (lipid peroxides) ในผิวหนังได้ ทั้งนี้เพราะเยื่อบุเซลล์ (cell membrane) ประกอบด้วย phospholipid ซึ่งส่วนใหญ่เป็น lipid ชนิดไม่อิ่มตัวสามารถเกิด lipid peroxides ได้ และมีผลต่อความแก่ก่อนวัยของผิว เมื่อเกิดปฏิกิริยา lipid peroxides จะได้ malondialdehyde (MDA) ซึ่ง MDA จะทำปฏิกิริยา cross-link กับสารคอลลาเจน ทำให้ปริมาณ soluble collagen ลดลง และ insoluble collagen เพิ่มมากขึ้น ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง จากการทดลองในหนูไม่มีขน (hairless mice) พบว่ามิตาวิตามินอีอะซีเตต ในปริมาณ 5% จะช่วยลดการเกิด MDA ลงไป 40-80% ต่อมามีการทดลองในคน ผลการทดลองสนับสนุนคุณสมบัติวิตามินอีและอนุพันธ์ของวิตามินอี ว่าสามารถช่วยลดความชราภาพของผิว เนื่องจากป้องกันการเกิด free radical และยับยั้งการเกิด lipid peroxidation ให้ลดลง วิตามินอีจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการเกิด free radical และยับยั้งการเกิด lipid peroxide

2. การชลอความชราภาพของผิว เป็นที่ทราบกันว่า free radical มีผลต่อความชราภาพของผิว เพราะจะทำให้มีการทำลายเซลล์และทำให้เซลล์ตาย การออกกำลังกายที่มากเกินไปและความเครียดทำให้มี free radical เกิดขึ้นในขณะที่ปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ free radical ยังเกิดจากเอ็นไซม์ต่าง ๆ ได้ เช่น superoxide dimutase และ catalase วิตามินอีช่วยชลอความชราภาพของผิว จากการทดลองพบว่า วิตามินอี ในปริมาณ 5% เมื่อทาบนผิวจะช่วยลดปริมาณเอ็นไซม์ ornitine dicarboxylase บนผิว ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้น เมื่อผิวโดนแสง UV ได้ถึง 91% วิตามินอีช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวโดยมีผลต่อ elastic fiber ในผิวชั้น dermis และ connective tissue collagen เนื่องจากวิตามินอี ไม่สามารถซึมซับไปได้ถึง subepidermis tissue ดังนั้นการใช้วิตามินอี จะได้ผลดีถ้ามีการรับประทานร่วมด้วย

3. การป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลต แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย มีการทดลองในผิวสัตว์ทดลองพบว่าแสง UV-B (ความยาวคลื่น 220-320 นาโนเมตร) เป็นตัวทำให้เกิด free radical ในผิวหนังสัตว์ทดลอง แต่ถ้ามีการทาวิตามินอีอะซีเตต ในผิวของหนูไม่มีขน ก่อนจะฉายแสงอุลตร้าไวโอเลตในช่วง UV-B พบว่าวิตามินอีอะซีเตต ช่วยลดอาการแดงได้ 40-55 % จากการดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน พบว่า ผิวที่ทาวิตามินอีอะซีเตตก่อนการฉายแสงอุลตร้าไวโอเลตในช่วง UV-B จะมีการป้องกันเซลล์ผิวชั้นนอก และช่วยป้องกันการอักเสบด้วย โดยสรุป วิตามินอีอะซีเตต สามารถยับยั้งกลไกการเกิด free radical เนื่องจากการได้รับแสง UV-B

4. การให้ความชุ่มชื้นกับผิว ปัจจัยที่มีผลสำคัญที่สุดต่อความชราภาพของผิวคือ ผิวแห้ง และการขาดสมดุลย์หรือเกิดความบกพร่องของความสามารถในการอุ้มน้ำของ Stratum corneum ในชั้นผิวหนังจะทำให้สูญเสียน้ำและแห้ง จากการศึกษาคุณสมบัติการให้ความชุ่มชื้นกับผิว โดยใช้วิตามินอีอะซีเตต ในรูปของอีมัลชั่นที่ความเข้มข้น 1,2.5 และ 5% ทาบนผิวและวัดค่าการสูญเสียน้ำ (transepidermal water loss, TEWL) พบว่าวิตามินอีอะซีเตตที่ความเข้มข้น 1.0 และ 2.5% จะไม่ค่อยเห็นผลเท่าไรนัก แต่ที่ความเข้มข้น 5.0% จะลดการสูญเสียน้ำได้ 19% หลังการทา 3 นาที และ 24% หลังการทาต่อเนื่องกัน 4 วัน ซึ่งประสิทธิภาพของวิตามินอีอะซีเตตจะเพิ่มขึ้นหากทาซ้ำและทาบ่อย ๆ

5. การดูแลและปรับสภาพเส้นผม อนุพันธ์ของวิตามินอีซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมใน ผลิตภัณฑ์ดูแลปรับสภาพผม คือ วิตามินแพนทีนอล (Panthenol) ซึ่งมีคุณสมบัติดีมากในการให้ความชุ่มชื้นบนเส้นผมและหนังศีรษะ จะคงอยู่บนเส้นผมและหนังศีรษะได้เป็นเวลานาน ต่อมาได้มีการศึกษาซึ่งชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าวิตามินอื่น ๆ และอนุพันธ์เหล่านั้น นอกเหนือจากแพนทีนอล มีบทบาทสำคัญในการดูแลและป้องกันเส้นผม หนังศีรษะไม่ให้ถูกทำลายโดยความร้อน ความแห้ง การดัดหรือย้อมผม เส้นผมต้องสัมผัสกับสารเคมี จากการทดลอง ใช้แชมพูและครีมนวดผม ที่มีส่วนผสมของวิตามินอีอะซีเตต 1% สระผมที่ไม่เคยดัดหรือย้อมมาก่อน และประเมินผลความสามารถในการติดค้างบนเส้นผมและการแทรกซึมไปในเส้นผม พบว่า มีการติดอยู่บนเส้นผมและหนังศีรษะได้นาน หลังจากการใช้ติดต่อกัน 5 ครั้ง

6. การช่วยลดการอักเสบ วิตามินอี สามารถลดและบรรเทาการอักเสบได้ นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการระเคืองต่อผิว อาการแพ้รวมกับการอักเสบและการคันด้วย อนุพันธ์วิตามินอีใหม่ ๆ ที่น่าสนใจนอกเหนือจากวิตามินอีอะซีเตตได้แก่ วิตามินอีลิโนลีเอท (Vitamin E Linoleate) และวิตามินอีนิโคติเนท(Vitamin E Nicotinate) วิตามินอีลิโนลีเอท สามารถแทรกซึมลงไปได้ถึงเซลล์ผิวหนังชั้น stratum corneum ช่วยรักษาระดับน้ำ ในเซลล์ ทำให้ผิวชุ่มชื้น มีคุณสมบัติเป็นตัวให้ความชุ่มชื่นผิวได้ระยะเวลานาน ทั้งนี้ เพราะมีการสะสมวิตามินอีลิโนลีเอท ในชั้น stratum corneum และส่วนบนของชั้นepidermis
สำหรับวิตามินอีนิโคติเนทจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต(microcirculation) ช่วยทำให้สภาพผิวดีขึ้น

จะเห็นว่าวิตามินอี โดยเฉพาะอีอะซีเตตมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันผิวและช่วยบำรุงรักษาผิว การใช้วิตามินอีและวิตามินอีอะซีเตตเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางจะได้ผลดีหรือ ไม่ ขึ้นอยู่กับปริมาณวิตามินอีหรือวิตามินอีอะซีเตต ที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง ปริมาณวิตามินอีอะซีเตตที่ใช้เป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด และครีมปรับสภาพเส้นผมจะต้องมีปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัย พบว่าปริมาณวิตามินอีอะซีเตตควรมีปริมาณ 5% ในครีมบำรุงผิว 1% ในครีมปรับสภาพเส้นผม จึงจะให้ผลในการใช้ ดังนั้นผู้บริโภคที่ใช้เครื่องสำอางดังกล่าวควรพิจารณาเลือกซื้อเครื่อง สำอางที่ระบุปริมาณวิตามินอี และวิตามินอีอะซีเตตบนฉลากเพื่อจะได้ประโยชน์อย่างสูงที่สุดจากการใช้ อย่างไรก็ตามการใช้วิตามินอี ถ้าจะให้ได้ผลดีก็ควรต้องใช้ร่วมกับการรับประทาน โดยการควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ วิตามินซี

เมื่อพูดถึง "วิตามินซี" หรือที่มีชื่อทางเคมีว่า กรดแอสคอบิค (ascobic acid) ที่เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง ผลไม้รสเปรี้ยว อย่างเช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม หวาน มะขามป้อม ฯลฯ มากมาย ขอเพียงแต่เป็นผัก ผลไม้ สดๆ เป็นใช้ได้ หรือ บางคนอาจนึกถึงยาเม็ดสีส้ม สีเหลืองที่มีรสชาติออกเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ไว้กิน เวลา มีเลือดออกตามไรฟัน

แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ในเมื่อวิตามินซีธรรมชาติมีอยู่ในผักผลไม้อยู่แล้ว ทำไม มนุษย์ จึงคิดวิตามินซีสังเคราะห์ขึ้นมาอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ามนุษย์ ได้เล็งเห็น ประโยชน์มากมายที่มนุษย์ได้รับจากการ รับประทานวิตามินซีนั่นเอง อีกทั้งด้วย คุณสมบัติของวิตามินซีธรรมชาติ ที่สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน และละลาย น้ำได้

รวมทั้งหากทั้งไว้ในอากาศซึ่งมีความชื้นนานๆ หรือถูกสารที่เป็นด่าง คุณสมบัติและปัจจัยต่างๆเหล่านี้เป็นตัวทำให้วิตามินซีในพืชผักสลายตัวได้ง่าย โดยเฉพาะพืชผักที่เด็ดออกมาจากต้นเป็นเวลานาน ๆ วิตามินซีธรรมชาติก็จะสูญสลายไปกับเวลาอันยาวนานนั่นเอง

วิตามินซี นอกจากนี้จะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเสื่อมของร่างกายแล้ว
ยังมีประโยชน์อีกมากมายต่อมนุษย์

* สามารถป้องกันและบรรเทาโรคหวัดได้ เนื่องจากช่วยป้องกันเชื้อไวรัส ที่จะไปทำลายเซลล์ และถ้า เป็นหวัด จะหายเร็วกว่าคนปกติ
* ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้าน ทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพ ของเม็ดเลือดขาว
* ช่วยส่งเสริมการดูดซึมของธาตุ เหล็กและยังเป็นตัวควบคุมขบวนการสร้าง คอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีน ที่เกิดขึ้นจากกรดอะมิโน ซึ่งช่วยให้กระดูกเป็น รูปเป็นร่างขึ้นมา ถ้าวิตามินซีน้อยลง คอลลาเจนอ่อนแอ ขบวนการซ่อมแซม ส่วน ที่สึกหรอก็ไร้ประสิทธิภาพ
* ช่วยเพิ่มระดับสารไลไปโปรตีนชนิด ที่ดี คือ High Density Lipoprotein (HDL) ในเลือด ทำให้ไขมันที่พอกพูนอยู่ตามเส้นเลือด ที่ถูกขนไปจำกัด ทั้งมากขึ้น และช่วยลดระดับ LOW Density Lipoprotein (LDL) ซึ่งขนไขมันไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน และวิตามินซียังช่วยควบคุมโคลเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่ว ในถุงน้ำดีอีกด้วย
* ช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโน ให้กลายเป็น สารในสมอง ซึ่งมี ความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย
* ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของ เซลล์สเปิร์ม จึงช่วยให้เชื้ออสุจิ แข็งแรง ขึ้น ลดปัญหา การเป็นหมันในผู้ชาย
* จะช่วยยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งระยะ ท้าย ๆ ออกไปได้ 3-10 เท่า หากใช้วิตามินซี ในปริมาณสูงจะช่วยยับยั้ง การกระจายเซลล์มะเร็งไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น ด้วยเหตุที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นมาใช้เองได้ จึงได้มีการ สังเคราะห์วิตามินซี จากกลูโคส ซึ่งนำมาจากแป้งและน้ำตาลในพืช การบริโภค วิตามินซีสังเคราะห์ทำให้คนทั่วไปสามารถ ซื้อหาได้ใน ปริมาณ สูง เท่าที่ ร่างกาย ต้องการ โดยมีราคาพอสมควรและสามารถ ควบคุม ปริมาณที่บริโภค ผักและ ผลไม้สดเป็นประจำ
เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินอย่างเพียงพอกับความต้องการ ส่ผลให้สวยจากภายในสู่ภายนอก

เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับอาหารลดความอ้วน

ลดความอ้วนด้วยบุก

ใครที่รู้ตัวอ้วน และอยากลดน้ำหนักบ้าง การรับประทานบุกสามารถช่วยได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องบุกมาบอกกัน....

บุก คือ พืชในตระกูลเดียวกันกับบอน (Araceae) เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นอวบ ไม่มีแก่น สูง 3-6 ฟุต มีดอกสีม่วงเหมือนดอกหน้าวัวเป็นพืชท้องถิ่นของ ประเทศญี่ปุ่น จีน ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดจีน ในประเทศไทยพบบุกมากในจังหวัด กำแพงเพชร เชียงใหม่ พะเยา กาญจนบุรี

ปัจจุบันนิยมรับประทานส่วนหัวของบุก เพราะมีสารสำคัญตัวหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ากลูโคแมนแนน เป็นคาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง ชนิดหนึ่งซึ่งประกอบด้วย กลูโคส แมโนส ฟรุคโทส มีลักษณะข้น ๆ เหนียว ๆ ก่อนจะนำมาบริโภคจะต้องผ่านกรรมวิธีที่มากมายในการกำจัดยางและ ล้างพิษที่อาจจะทำให้คันได้ นำมาขายเป็นเส้น ๆ หรือเป็นชิ้น ๆ ซึ่งนำไปประกอบอาหารแทนเนื้อสัตว์ได้ เพราะไม่มีรสชาติ จึงสามารถปรุงรสได้ตามความชอบ

บางครั้งอาจนำมาขายในลักษณะผงชงเป็น เครื่องดื่มรสต่าง ๆ ความเหนียวหนืดของกลูโคแมนแนน จะชะลอการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหารไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

ช่วย ถ่วงท้องให้อิ่มเร็ว การบริโภคอาหารอื่น ๆ จึงน้อยลงโดยปริยาย ทำให้นิยมมากในวงการผู้ที่ต้องการ ลดน้ำหนัก ใยและกากอาหารจะทำให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้นทำให้การ ขับถ่ายเป็นไปได้ดี การควบคุมหรือลดน้ำหนักด้วยการบริโภคบุก พร้อมกับการรับประทานอาหารอื่น ๆ ครบ 5 หมู่ ไม่มีอันตรายต่อ ร่างกายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นใยอาหารธรรมชาติไม่ใช่สารเคมีสกัด

ใครที่อยากลดน้ำหนักลอง หันมาทานบุกกันดู ก้อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่จำเจ

ผอมเพรียวภายใน 7 วัน

อาหารลดน้ำหนัก........................


การเลือกรับประทานอาหารสำหรับผู้ต้องการควบคุม น้ำหนัก
นี่เป็นข้อแนะนำแบบง่าย จากนักโภชนาการ สำหรับผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก

1. ลดหรือหลีกเลี่ยง กับข้าวที่มีการชุบแป้งทอด
2. หลีกเลี่ยงน้ำจิ้ม
3. ลดเกลือ
4. สำหรับของหวาน เลือกรับประทาน ขนม หรือ ผลไม้ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
* เลือกขนมหรือผลไม้ มื้อละ 1 ชนิดเท่านั้น
* ผลไม้สามารถรับประทานได้ทุกชนิด ไม่เว้นทุเรียน
* ผลไม้เนื้อนุ่มๆนิ่มๆที่กินง่าย รับประทานไม่เกิน 10 คำ (ปริมาณ ประมาณเท่ากับ ข้าว 1 ทัพพี)
ผลไม้เนื้อกรอบๆ รับประทานได้ถึง 20 คำ
* ขนมควรรับประทานไม่เกิน 10 คำ
5. เลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำชนิดอื่นๆ เช่น น้ำอัดลม กาแฟเย็น ชาเย็น เป็นต้น
6. ละเว้นน้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู ในการปรุงอาหาร

คำแนะนำ

* วิธีการเลือกอาหารเหล่านี้ หากสังเกตุโดยรวมก็คือ การลดน้ำตาล และลดน้ำมัน นั่นเอง แต่แปลงหลักการกว้างๆมาเป็นข้อแนะนำย่อยที่เข้าใจและจำได้ง่ายขึ้น
* หากต้องการดื่มน้ำหวาน คุณสามารถทำ น้ำหวานพลังงานต่ำ ดื่มทดแทนได้
* เลือกอาหารที่จะรับประทานได้แล้ว อย่าลืม รับประทานช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขกับอาหารนั้นๆมากขึ้น


สูตร 7 วัน ลดความอ้วน..............................................

วันที่ 1 กินผลไม้ทุกชนิดได้เท่าที่ต้องการ ยกเว้นกล้วย กินซุปให้มากๆด้วย
เครื่อง ดื่มที่สามารถดื่มได้คือ ชา น้ำแครนเบอรี่ และน้ำเปล่า
* เมืองไทยคงหาน้ำแครนเบอรี่ยาก ลองดูเป็นอย่างอื่นละกันค่ะ หรืองดไปเลยก็คงไม่เป็นไร ดื่มน้ำเปล่าดีกว่าอยู่แล้ว

วัน ที่ 2 กินผักทุกชนิดได้เท่าที่ต้องการ ไม่ว่าจะสด ดิบ หรือสุก พยายามกินพวกผักใบเขียว เลี่ยงผักจำพวกถั่วเมล็ดแห้ง กินซุปให้มากๆ แต่งดผลไม้ วันนี้ให้รางวัลกับตัวเองด้วยมันอบพร้อมเนย 1 หัว

วันที่ 3 กินผัก + ผลไม้ + ซุปได้มากเท่าที่ต้องการ แต่งดมันอบ

วัน ที่ 4 กินกล้วยให้ได้ 8 ผล และดื่มนมไขมันต่ำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะได้ รวมถึงซุปด้วย

วัน ที่ 5 กินเนื้อวัวได้ 300-600 กรัม และมะเขือเทศ1กระป๋อง หรือมะเขือเทศสด 6 ผล ดื่มน้ำอย่างน้อย 6 แก้วเพื่อชะล้างกรดยูริคจากร่างกาย กินซุปอย่างน้อย 1 หน
* สำหรับคนที่ไม่กินเนื้อวัวให้ดู ** ข้างท้ายค่ะ

วันที่ 6 กินผักกับเนื้อวัวได้เท่าที่ต้องการ งดมันอบ กินซุปอย่างน้อย 1 หน

วัน ที่ 7 กินข้าวกล้อง + ผัก + น้ำผลไม้ที่ไม่ได้ปรุงแต่งรสหวานเพิ่ม กินได้เท่าที่ต้องการ และอย่าลืมกินซุปด้วย

เมื่อจบวันที่7 หากคุณไม่ได้โกงตัวเอง น้ำหนักคุณจะลดไปได้ 4.5 - 8 กิโล หากต้องการลดเพิ่ม ให้เว้นระยะสักสองวันก่อนจะเริ่มใหม่จากวันที่ 1 สามารถทำไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะเบื่อ

อาหารต้องห้าม ขนมปัง ของทอด แอกอฮอล์ มันฝรั่ง ( เว้นแต่วันที่ระบุไว้ ) น้ำอัดลม

** สำหรับผู้ที่ไม่กินเนื้อวัว สามารถกินไก่ต้มหรือไก่ย่างแทนได้แต่อย่ากินหนัง หากคุณกินปลานึ่งในวันที่5แทนเนื้อวัว ควรกินโปรตีนในวันถัดไปให้มากขึ้น เพื่อชดเชยโปรตีนที่ขาดไป

หากต้องกินยาตามแพทย์สั่ง ก็สามารถกินได้โดยไม่เป็นไร สามารถทำตามสูตรนี้ไปได้เรื่อยๆ

ผิวสวยด้วย AHA

AHA หรือแอลฟาไฮดรอกซีแอซิด (Alpha Hydroxy Acid)
ที่เรียก กันว่ากรดผลไม้ เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในอาหาร เช่น กรดเมลิกแอปเปิ้ล กรดซิตริกในมะนาว กรดทาริกในองุ่น กรดแลกติกในนมเปรี้ยว และกรดไกลโคลิกในอ้อย เป็นต้น ช่วยต่อต้านการแก่ของผิวหนัง จากการศึกษาจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งและศูนย์วิจัยในอมริกา เช่น มหาวิทยาลัยฮานีแมน มหาวิทยาลัยเพ็นซิลวาเนีย เทมเปิล และยูซีแอลเอ พบว่า ให้ผลดังนี้

- มีประสิทธิภาพเมื่อใช้กับผิวหนัง และผิวที่แห้งอย่างรุนแรง
- ขจัดสิวอุดตัน และทำความสะอาดรูขุมขน
- เพิ่มความนุ่มและความตึงของผิวหนัง
- ขจัดปัญหาน้ำมันและสิวบนใบหน้า
- ป้องกันอันตรายต่อผิว เนื่องจากสารชะล้าง เป็นต้น
- ลดการเปลี่ยนสีผิว และจุดด่างดำ (age spots) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับไฮโดรควิโนน
- ป้องกันผิวหนังได้ดีเท่ากับการรักษาผิว

มีการใช้ AHA ในเครื่องสำอางมาหลายปี บ่อยครั้งใช้ในการปรับความเป็นกรดด่าง (pH) การค้นพบประสิทธิภาพของ AHA ต้องยกย่องให้ ดอกเตอร์ ยูจีน แวนสก๊อต แพทย์ทางผิวหนัง (ตจแพทย์) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านคลีนิก ภาควิชาตจวิทยา มหาวิทยาลัยฮานีแมน รัฐฟิลเดลเฟีย มีการเริ่มใช้ AHA ครั้งแรกโดยการทดลองรักษาในคนไข้ที่มีอาการผิวแห้งและพบว่า AHA ยังมีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยม ในการรักษาสิวและจุดด่างดำ กลไกการออกฤทธิ์ AHAที่ผิวนอกหรือลึกลงไปจะน้อยหรือมาก ขึ้นกับกลไกการออกฤทธิ์ของกรดแต่ละชนิด
ในปี 1990 เป็นทศวรรษของ AHA เริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 1992 มีผลิตภัณฑ์ AHA สำหรับใบหน้าของเอวอน 1 ตำรับเข้าสู่ตลาด ซึ่งมีส่วนผสมของกรดไกลโคลิก 4% สำหรับทำให้ผิวดูอ่อนวัย เครื่องสำอางดังกล่าวมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นส่วนผลักดันให้มีการแข่งขันกันอย่างร้อน แรงในวงการอุตสาหกรรมเครื่องสำอางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั้งหมดพัฒนาอย่างรวดเร็ว เมื่อผลิตภัณฑ์ AHA เข้ามาแข่งขันในตลาดโดยปี 1992 มีผลิตภัณฑ์ AHA ของบริษัทเครื่องสำอางมีชื่อเสียงต่าง ๆ เริ่มออกจำหน่าย มีการแข่งขันกันมาก ในปี 1993 พบว่าผลิตภัณฑ์ AHA เข้าสู่ตลาดอย่างน้อยที่สุด 50 ตำรับ ผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาในปี 1993 และผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 1994 มีการใช้ AHA ในผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ เช่น ครีมสำหรับใช้ตอนกลางคืน ครีมให้ความชุมชื้นตอนกลางวัน ครีมทาตา ครีมบำรุงหน้าอกและคอ โลชั่น ครีมทามือและลำตัว ครีมรองพื้น เครื่องสำอางขัดผิว และเครื่องสำอางถนอมผิว เป็นต้น โดยมีการใช้ AHA 1 ชนิด เช่น กรดโคลิก หรือมีส่วนผสมของ AHA 2-3 ชนิด ในสูตรตำรับ ซึ่งเป็นกรดที่สกัดจากธรรมชาติหรือสังเคราะห์ขึ้น แล้วแต่เทคนิคของบริษัทผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ซึมผ่านลึกเกินกว่าหนังกำพร้ามีความเข้มข้นของ AHA ต่ำ ส่วนมากไม่เกินร้อยละ 5 บางตำรับอาจเข้มข้นร้อยละ 8 หรือ 10 ซึ่งใช้สำหรับทามือและลำตัว ส่วนการลอกผิวหนังในสถานเสริมความสวยโดยนักเสริมความงามที่ได้รับอนุญาต อาจใช้ผลิตภัณฑ์ AHA ความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 40 สำหรับแพทย์อาจใช้ผลิตภัณฑ์ AHA ความเข้มข้นร้อยละ 30 - 70 เพื่อลอกผิวหนังหรือลอกหูด

การออก ฤทธิ์ AHA
คนที่มีอายุมากขึ้น ขั้นตอนในการลอกผิวหนังจะช้าลง การใช้ AHA ช่วยละลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งยึดติดอยู่ระหว่างเซลล์ที่ตายแล้วกับผิว หนังในชั้น stratum corneum ทำให้ชั้นบนสุดของผิวหนัง ซึ่งเป็นเซลล์ที่ตายแล้วลอกออกอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอทำให้รูขุมขนไม่อุด ตันช่วยในการขับน้ำคัดหลั่งของต่อมเหงื่อ เซลล์ใหม่ที่ขึ้นทดแทนเซลล์เก่าทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ทำให้ผิวหนาขึ้นช่วยป้องกันและปกป้องผิวจากมลภาวะแวดล้อม และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การเร่งหลุดออกของเซลล์ทำให้ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และรอยย่นหลังจากการใช้หลาย ๆ ครั้ง จากการศึกษาของการผลิตภัณฑ์ AHA ประจำวันคือ ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง ผิวเรียบมากขึ้น ผิวหนังสุขภาพดีและสะท้อนแสงอย่างสม่ำเสมอทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย กรด AHA ให้ผลคล้าย เรติน-เอ อันเป็นสารที่นิยมใช้ในการรักษาสิว และบำรุงผิวในทศวรรษที่ 80 (1980) แต่มีผลข้างเคียงเป็นอันตรายต่อผิวอย่างมาก เนื่องจากเรติน-เอ ทำให้ผิวหน้าส่วนบนบางลง ริ้วรอยบนใบหน้าดูจางลง สิวหลุดลอก หากใช้ไปนาน ๆ ผิวหน้าจะไวต่อแสงแดด และรู้สึกระคายเคืองมากเมื่อเทียบกับ AHA
ไกลโคลิก ซึ่งเป็นสารเด่นของ AHA มีขนาดโมเลกุลเล็ก เมื่อผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจึงออกฤทธิ์ได้ผลดีที่สุดเพราะว่าสามารถซึม เข้าผิวหนังได้โดยง่ายเป็นที่น่าสังเกตว่ากรดไกลโคลิก ได้ผลดีกับผิวหนังที่แห้งมาก นอกจากนี้กรดไกลโคลิก ยังทำหน้าที่สารฟอกจางสีผิวที่มีประสิทธิภาพดีกว่าไฮโดรควิโนน

ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ AHA
เพื่อ ให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ควรใช้ผลิตภัณฑ์ AHA ความเข้มข้นต่ำเป็นประจำทุกวันพร้อมกับทำ AHA Treatment ในคลีนิก ซึ่งความถี่/ห่างในการทำแล้วแต่การวินิจฉัยของแพทย์ ผลข้างเคียงของ AHA เท่าที่ทราบกันอย่างแพร่หลายคือ การระคายเคืองทำให้ผิวหนังแดงจากการทำ AHA Treatment ซึ่งส่วนมากจะหายไปเอง 20 นาทีหลังจากการล้างออก

ข้อควรระวังเมื่อใช้ AHA
1.หลีก เลี่ยงอย่าให้ผลิตภัณฑ์ AHA เข้าตาหรือสัมผัสเนื้อเยื่ออ่อน
2. อย่าใช้กับผิวหนังที่เพิ่มโกนใหม่ ๆ หรือผิวเกรียมแดด
3. อย่าใช้กับผิวที่ปรากฏการระคายเคือง หรือมีแผลเปิด

สำหรับผู้ที่ผิว ไวมาก ทางที่ดีที่สุดควรทดสอบก่อน โดยทาผลิตภัณฑ์ AHA เล็กน้อยลงบนท้องแขน และปิดผ้าพันแผล หากมีอาการแพ้ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ AHA

การควบคุมการใช้ AHA
สำนักงานคณะ กรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) โดยดอกเตอร์จอห์น ไปเล่ย์ ผู้อำนวยการสำนักงานเครื่องสำอางและสีได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ AHA มาประมาณ 2 ปีที่แล้ว และเริ่มศึกษาเพื่อดูว่า AHA ออกฤทธิ์เป็นเครื่องสำอางหรือเข้าข่ายยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง สำหรับ AHA ทำให้ผิวระคายเคือง แต่ยังไม่รุนแรงพอที่จะพิจารณาดำเนินการ ในการพิจารณาควบคุมการใช้ AHA ยังขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ด้านประสิทธิภาพระยะยาวการแพ้ การไวของผิวหนัง และการดูดซึมเข้าสู่ผิวทั้งระยะสั้น/ระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลระยะยาว ขณะเดียวกันผู้ผลิตพยายามรักษาให้สูตรตำรับมี AHA ความเข้มข้นต่ำ (ร้อยละ 3-5) เพื่อรักษาประโยชน์ของตลาดเป็นสำคัญ สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการพิจารณาเพื่อควบคุมการใช้ AHA เช่นกัน