Monday, November 8, 2010

อันตรายจากไขมันในเส้นเลืดสูง

ไขมันในเส้นเลือดสูงเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันในเส้นเลืดสูงกว่าปกติ อาจจะเป็นระดับโคเลสเตอรอลสูง
หรือระดับไตรกลีเซอร์ไรด์สูงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสูงทั้งสองชนิดก้อได้ ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยง
สำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ไขมันในเลือด มีหลายชนิด แต่ที่สำคัญ ได้แก่

1.โคเลสเตอรอล ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเอง และอีกส่วนหนึ่งได้รับจากอาหาร ในคนปกติควรมีระดับโคเลสเตอรอลทั้งหมดในเลือดไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

1.1โคเลสเตอรอลชนิดอันตราย [แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล]
ถ้ามีในระดับสูงเกินไป จะไปสะสมที่เยื่อบุด้านในของหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือแดงแข็ง ตีบหรืออุดตัน

1.2โคเลสเตอรอลชนิดดี [เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล]
เป็นชนิดที่มีประโยชน์ ทำหน้าที่นำโคเลสเตอรอลที่เหลือไปทำลายที่ตับ ผู้ที่มีโคเลสเตอรอลชนิดนี้สูง
จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง

2.ไตรกลีเซอร์ไรด์ เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง และได้รับจากอาหาร ระดับปกติในเลือดไม่ควรเกิน
150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่ถ้ามีระดับไตรกลีเซอร์ไรด์สูงมาก จะทำให้หลอดเลือดอุดตัน

สาเหตุของการเกิดภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง

1.ความผิดปกติของกรรมพันธุ์
2.กินอาหารที่มีไขมัน
3.โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไต ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ ยาขับปัสสาวะ เป็นต้น
4.ยาบางชนิด เช่น ยาต้านไวรัสเอดส์ และยาขับปัสสาวะ เป็นต้น
5.การดื่มสุราในปริมาณมากเป็นประจำ
6.ไม่ออกกำลังกาย

Sunday, July 18, 2010

การอดนอนทำให้อ้วนและโทรม



รู้ๆ กันว่า การอดนอนนั้น ทำให้ดูโทรม ผิวเหี่ยว สมองเฉื่อยชา แต่มีข่าวใหม่ล่าสุด บอกว่า การหลับไม่เต็มอิ่ม ยังทำให้ยากที่จะ
รักษารูปร่างได้ และมีแนวโน้มที่น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย เรียกว่า นอกจากจะไม่สวยแล้ว ยังอาจทำให้อ้วนขึ้นได้อีกต่างหาก

ผู้หญิง เรา ต้องการนอนแค่ไหนจึงจะพอ
นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ถามกันบ่อยมาก Dr. James B. Maasเจ้าของหนังสือ " Power Sleep " บอกว่า โดยเฉลี่ยผุ้หญิงจะนอนประมาณ 6 ชั่วโมง 10 นาที ทั้ง ๆ ที่ แหญิงสาวในวัยไม่เกิน 25 ควรนอนให้ได้ 9 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงในวัยเกิน 25 ปีไปแล้ว อาจต้องการนอน แค่วันละ 8 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า จำนวนชั่วโมงการนอนที่ได้ผลดีกับร่างกาย มากที่สุด นั่นคือ ทำให้สมองได้ พักผ่อนอย่างเต็มที่ เซลล์ของร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง อยู่ที่ 9 ชั่วโมง 25 นาที ไม่ใช่ 8 ชั่วโมงอย่างที่เคยเชื่อกัน

ออก กำลังกายในช่วงไหน จึงจะทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
การออกกำลังกายในตอน เย็น (ช่วง 16.00-18.00 ) จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณนอนหลับฝันดี โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ชนิดที่ช่วยเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง เดิน ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที

ทำไมการ นอนไม่เต็มอิ่ม อาจทำให้คุณอ้วนได้
ผลการศีกษาจาก มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า กลุ่มผู้ชายที่มีสุขภาพดี วัย 17-28 ปี ที่นอนเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน จะมีผลทำให้ระดับความดันของเลือดและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่า การอดนอน ทำให้เป็นหวัด ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับความเครียด และมีอาการอ่อนเพลีย แต่น้ำหนักตัวกลับเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเมื่อคนเรามีอาการเครียดและรู้สึกอ่อนเพลีย ก็มักจะหาทางออกด้วยการกินอาหารที่มีรสหวาน ซื่งเป็นปฎิกริยาของร่างกาย ที่ต้องการพลังงานไปชดเชยนั่นเอง

ฝึก หายใจแบบโยคะ ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
Dr. Derek Loewy ผุ้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย Stanford แนะนำว่า การฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ เหมือนการท่าฝึกหายใจของโยคะ จะช่วยให้ลดความตึงเครียดและอาการหงุดหงิดลงได้ การฝึกหายใจ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และขับไล่สารพิษเมื่อหายใจออก และช่วยให้จิตใจสบาย ร่างกายผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลต่าง ๆ ได้ จึงช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น

วิธี ฝึกหายใจ
นั่งไขว้ขา หลังตรง ยืดหน้าอกขึ้น แต่ผ่อนคลายส่วนไหล่ วางมือลงบนหน้าท้อง โดยให้ฝ่ามือหันเข้าลำตัว หายใจเข้าลึก ๆปล่อยให้มือ ขยับขึ้นลง ตามจังหวะการหายใจ ฝึกหายใจในท่านี้ ประมาณ 10 ครั้ง

17 วิธีเพื่อผิวสวยใส



1.ดูแลผิวให้เนียนนุ่ม ก่อนลงน้ำทะเลควรทาเบบี้ออยล์ให้ทั่วผิว แล้วใช้ทรายที่ชายทะเลขัดผิว จากนั้นจึงล้างตัวด้วยน้ำทะเล
แต่อย่าลืมทาครีมกันแดดหรือโลชั่นกันแดดที่มี SPF 50 หรือมากกว่านั้น เพื่อป้องกันผิวหนังจากการไหม้เกรียม

2.คนที่มีผิวบอบบาง ควรป้องกันผิวจากรังสียู่วีในแสงอาทิตย์ได้ด้วยการชโลมน้ำมันอัลมอนด์ลงบน ผิวกายทุกครั้งหลังอาบน้ำ
หรือจะใช้น้ำมันที่สกัดจากมะพร้าว ก็ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและลมหนาวได้เช่นกัน

3.มอยส์เจอไรเซอร์ สำหรับคนที่มีผิวอ่อนบาง ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของกรดหรือน้ำหอม
สังเกตได้บนฉลากของผลิตภัณฑ์มีคำว่า Comedogenic หมายถึงผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน

4.คนที่มีผิวธรรมดา แต่มีการแห้้งและคัน เมื่ออากาศหนาว ควรใช้โลขั่นที่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง

5.คนที่อยากมีผิวขาวเนียนกระจ่างใส การนำมะขามเปียกมาขัดถูผิวเวลาอาบน้ำ จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งแตก

6.ดื่มน้ำแร่อย่างน้อย 1.5 ลิตรทุกวัน จะช่วยให้ผิวพรรณและใบหน้าสดใส

7.ใช้น้ำแร่เย็นเฉียบล้างหน้าเป็นประจำเช้า-เย็น จะช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นได้ น้ำเย็นยังช่วยให้ผิวหน้าปรับสภาพ
และคืนสมดุลได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

8.หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าผิวหน้าก็หิวน้ำได้เช่นกัน ดังนั้นควรฉีดสเปรย์น้ำแร่ให้ใบหน้าคงความชุ่มชื้นตลอดวัน

9.นำน้ำผึ้งมาอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอเหมาะ ทาทั่วใบหน้าและลำคอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และเป็นการให้สารอาหารบำรุงกับผิวหน้า

10.นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำนม และนำมาแช่ในอ่างอาบน้ำ เพื่อช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

11.ใช้เมล็ดอัลมอนด์บดผสมกับโยเกิร์ต พอกทิ้งไว้ 18-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำปล่าวแล้วใช้ผ้าเช็ดให้สะอาด
จากนั้นล้างหน้าซ้ำอีกครั้งจะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่นุ่มนวลเนียนใส

12.ทำความสะอาดรอบดวงตาอย่างเบามือ โดยเฉพาะคนที่แต่งหน้าเป็นประจำ ควรใช้โลชั่น ครีม หรือผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางที่ผลิตมาเป็นพิเศษสำหรับเช็ดเครื่องสำอางค์ออกจากผิวหน้าได้สะอาด ก่อนการล้างหน้าทั่วไป ที่สำคัญควรเลือกที่ผลิตมาเพื่อเช็ดอายแชโดว์และมาสคาร่าแบบติดทน กันน้ำ เพื่อเช็ดออกได้สะอาด โดยไม่จำเป็นต้องเช็ดแรงเกินไป

13. ก่อนเลือกซื้อครีมบำรุงรอบดวงตา ควรดูว่ามีครีมมีส่วนผสมอะไรบ้าง เช่น
ถ้าผสมชาเขียวซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวของคุณให้สดใสขึ้น
หรือถ้ามีส่วนผสมของคาโมมายล์ ซึ่งช่วยผ่อนคลาย และลดอาการระคายเคืองได้ดี

14.คนที่ต้องการชะลอริ้วรอยก่อนวัย ควรเลือกครีมบำรุงดวงตาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอซึ่งช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น
และวิตามินบีซึ่งช่วยซ่อมแซมผิวหนัง และวิตามินอีซึ่งช่วยปกป้องผิวจากริ้วรอย

15.ควรดูแลผิวรอบดวงตา ด้วยการใช้นิ้วมือแตะครีมบำรุงรอบดวงตา แล้วถูเนื้อครีมให้เข้ากันซึ่งจะช่วยให้ส่วนผสมต่างๆในเนื้อครีม
ทำงานได้ดีขึ้น จากนั้นจึงทาครีมเบาๆบนผิวรอบดวงตาให้เนื้อครีมซึมเข้าสู่ผิว เพื่อช่วยบำรุงและชะลอริ้วรอย

16.ครีมบำรุงรอบดวงตาสำหรับตอนเช้า ควรเลือกชนิดเจลที่มีส่วนผสมของวิตามินที่ช่วยลดริ้วรอยและปกป้องแสงแดด
อย่าใช้ครีมสำหรับใบหน้าทาบริเวณรอบดวงตา เพราะเนื้อครีมสำหรับผิวหน้าจะมีความเข้มข้นสูง
และมีส่วนผสมของน้ำหอมและสี ซึ่งอาจทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคืองได้

17.คนที่นอนดึก สามารถแก้ขอบตาดำคล้ำได้ด้วยการฝานมันฝรั่งบางๆ แล้ววางลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ 10 นาที
น้ำและความชุ่มชื้นจากมันฝรั่งจะซึมซาบเข้าสู่ผิว ช่วยให้รอยคล้ำใต้ตาจางลงได้

10 วิธีดูแลผิวหน้าและผิวตัวให้่สวยกระจ่างใส



การดูแลผิวหน้าแม้จะไม่มีอะไรยุ่งยาก แต่ถ้าทำผิดวิธี นอกจากผิวหน้าจะไม่ดูดี ยังอาจทำให้ผิวหน้ามีปัญหามากขึ้น

ดังนั้นอย่ามองข้ามความสำคัญของวิธีการดูแลผิวหน้า นี่คือ 12 วิธีง่ายๆที่ควรทำเป็นประจำเพื่อผิวหน้าสวยกระจ่างใส


1.เลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับสภาพผิว
คุณรู้ว่าตัวเองมีสภาพผิวหน้าแบบไหน แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับสภาพผิวของคุณ
ไม่เช่นนั้นผิวหน้าของคุณจะสูญเสียค่าสมดุลของความเป็นกรดด่าง

2.พอกหน้าเป็นประจำ
พอกหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง วิธีง่ายๆ คือ ทาครีมหรือโคลนพอกหน้าให้หนาพอสมควร เว้นบริเวณรอบดวงตา
ระหว่างนั้นอาจนั่งหรือนอนฟังเพลงสบายๆ สัก 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ควรหาเวลาพอกหน้าวันเว้นวัน
และวันที่พอกหน้า ต้องไม่ตรงกับวันที่ขัดผิวหน้า หรือ สครับผิวหน้า

3.ควรบำรุงผิวทั้งในเวลากลางวัน และเวลากลางคืน
ในเวลากลางวัน ควรเลือกมอยซ์เจอไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดเป็นประจำ
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ร่มซึ่งไม่เจอกับแสงแดดโดยตรง หรือ ออกไปกลางแจ้งเป็นประจำ
เพราะแสงต่างๆสามารถทำร้ายผิวคุณได้แม้ในที่ร่ม เช่น แสงจากคอมพิวเตอร์ แสงไฟนีออน
ในเวลากลางคืนก็ไม่ควรละเลยการบำรุง เนื่องจากในขณะที่ผิวพักผ่อน ผิวสามารถซึมซับประโยชน์ของครีมบำรุงได้อย่างเต็มที่

4.อย่าพยายามนอนดึก อย่าเพียงแค่คิดว่าคุณยังไหว เพราะร่างกายของคนเราต้องการการพักผ่อน เพื่อให้เซลล์ต่างๆได้ซ่อมแซม

5.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ที่ได้ยินกันบ่อยว่าให้ดื่มน้ำเปล่าวันละ 6-8 แก้ว อันที่จริงแล้ว ถ้าดื่มมากกว่านั้นได้ก็จะเป็นการดี

ไม่ควรดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ แต่ถ้าคุณชอบก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะการดื่มน้ำอัดลมมากไป จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร
จะเกิดอาการอึดอัดและปวดท้องได้

6.ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ บริหารตัวแล้วอย่าลืมบริหารหน้า นวดหน้าด้วย

7.งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้ดูแก่ก่อนอายุ

8.อย่าตากแดดเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะแสงแดดที่แรงจัด เพราะรังสียูวีในแสงแดดเป็นตัวทำลายผิวให้เกิดริ้วรอย

9.ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ก่อนอายุ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์
ซึ่งมีอากาศเย็นทำให้ผิวหนังแห้ง และเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอย

10.ทำความสะอาดร่างกายและใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ หากคุณเป็นสิว ควรใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น
โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด

วิธีหนีความอ้วน แบบที่ไม่ต้องกดดันเกินไป



วิธีต่อไปนี้ทำให้คุณลดน้ำหนักได้ โดยไม่ต้องกินยาลดความอ้วนที่มีอันตรายอย่างคาดไม่ถึง และไม่ต้องไปเข้าคอร์สแพงๆ เพื่อลดไขมัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง แต่น้ำหนักอาจไม่ลดลงอย่างที่หวัง

1. ทำตัวให้คล่องแคล่วทุกเมื่อ

อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่า ๆ หรือมัวนั่งเฉยๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่งานหรือที่บ้าน พยายามเคลื่อนไหวบ่อยๆ
จะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น

2. ไม่จำเป็นต้องเลิกของหวาน
ถ้าคุณติดรสหวานอร่อยของช็อกโกแลต เค้ก ขนมเบเกอรี่ หรือขนมไทยรสหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ก็ไม่จำเป็นต้องงด เพราะยิ่งอดก็จะยิ่งอยากกิน และยิ่งควบคุมได้ยากเมื่อเห็นขนมหรือเมื่อเห็นคนอื่นกินแล้วห้ามใจไม่ได้ จะยิ่งทำให้หมดการควบคุม และกินแบบไม่ยั้ง การกินของที่ชอบนาน ๆ ครั้ง ไม่ได้ทำให้แผนลดน้ำหนักของคุณต้องล้มเหลวลงหรอก ถ้าคุณขยันออกกำลังกายมากขึ้นในสัปดาห์นั้น

3. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
การดื่มน้ำในช่วงตื่นนอน นอกจากทำให้คุณสดชื่น และช่วยระบายท้อง ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขี้น ช่วยลดความอึดอัด
ในท้องได้ การดื่มน้ำในระหว่างวัน ก็ช่วยไม่ทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชาจากการรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ

4.กินอาหารมื้อเล็ก ๆ
การทานอาหารมื้อเล็ก ๆ ห้าถึงหกมื้อ โดยทอดเวลาห่างกันซักสองสามชั่วโมงจะช่วยทำให้คุณไม่รู้สึกเฉื่อยชา เมื่อต้อง
รับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ

5. ไม่ควรชั่งน้ำหนักบ่อยๆ
การชั่งน้ำหนักตัว ทุกวัน ทำให้คุณเกิดความเครียด และอาจท้อแท้ จนเลิกล้ม ความพยายามไปเปล่า ๆ ทางที่ดีคุณควรชั่งน้ำหนัก
สัปดาห์ละครั้งก็พอแล้วค่ะ

6.อย่าตุนอาหารเต็มตู้เย็น
ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต คราวหน้า ลดปริมาณของที่ซื้อมาตุนในตู้เย็นลง เพราะยิ่งคุณมีของกินในบ้านมากขึ้น คุณก็ยิ่งกินมากขึ้น

7.ฟังเพลงเรียกเหงื่อ
การฟังเพลงที่เร้าใจ ตอนออกกำลังกาย จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คุณออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

8.ควรกินข้าวกล้อง
นอกจากจะช่วยประหยัดไฟ ในการใช้สีข้าวให้ขาวจั๊ว ข้าวกล้องน่ะ ยังมีวิตามินดี ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียบ เมื่อเทียบกับข้าวเม็ด
ขาวสวย และที่สำคัญอยู่ติดท้องนานกว่า ทำให้อิ่มได้นาน

9. ตั้งใจและมุ่งมั่น
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ การลดน้ำหนักของคุณไม่ได้ผล ก็คือความรู้สึกท้อแท้ เมื่อเห็นน้ำหนักตัวไม่ขยับลงอย่างที่ควรจะเป็น
บางทีเป็นเพราะคุณคาด หวังผลเร็วเกินไป แต่ขอให้เชื่อว่า การลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง ไม่เร่งให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ
แม้ได้ผลช้า แต่ไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพและยังได้ผลที่ถาวรกว่า

กินอย่างไรไม่ให้อ้วน



1.รับประทานผักและผลไม้ให้มากเป็นประจำ นอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ผักผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามิน
ที่มีประโยชน์ต่อความสวย และช่วยลดระดับไขมันโคเรสเตอรอลอย่างได้ผลอีกด้วย



2.รับประทานธัญพืชและถั่วต่างๆให้มาก เช่น ข้าวกล้อง งา ถั่วต่างๆ ลูกเดือย ซึ่งจะมีเส้นใยอาหารช่วยให้อิ่มเร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาระดับโคเลสเตอรอลอีกด้วย



3.รับประทานปลา หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำโดยเฉพาะเนื้อปลา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นโปรตีนชั้นดีและมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง ปลาแซลมอน ปริมาณไขมันที่ควรรับประทานต่อวันไม่ควรเกิน 5-8 ช้อนชาและหากจะรับประทานสลัดก็ไม่ควรใส่น้ำสลัดมากกว่า 5 ช้อนชา



4.หลีกเลี่ยงอาหารหวานต่างๆ ไม่จำเป็นต้องงด แต่ไม่ควรกินบ่อย เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน ขนมหวาน หรือแม้แต่ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ
เพราะของหวานให้แต่พลังงาน ซึ่งหากรับประทานมากก็จะเกินความต้องการไปเป็นส่วนเกินตามร่างกาย

5.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มจัด โดยควรรับประทานเกลือให้น้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน

6.งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยไม่ควรดื่มมากกว่า 1 แก้วต่อวัน เพราะนอกจากจะก่อโทษต่างๆแล้ว
ยังมีแคลอรี่สูงอีกด้วย หากคุณรับประทานอาหารตามแนวทางนี้ จะทำให้คุณรักษารูปร่างให้สมส่วนได้อย่างยาวนาน
ไร้ไขมันส่วนเกินและสุขภาพดี ไม่ผอมเกินไปแบบการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

การดูแลสุขภาพผิวให้สวยใส



การดูแลสุขภาพผิวให้สวยใส ท่านสามารถทำได้ไม่ยากเลย มีหลักการง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. ครีมถนอมผิว
2. ครีมกันแดด
3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว
4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน
6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

รายละเอียดมีดังนี้

1. ครีมถนอมผิว (Moisturizer, Emoillient)

ครีมที่ใช้ทาบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น ส่วนใหญ่จะมีสารประกอบพวกยูเรีย กลีเซอรีน มิเนอรัลออยล์ เลซิทิน วิตามินอี ลาโนลิน ยูเซอริน ฯลฯ ใช้ทาเพื่อทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้ง ไม่เหี่ยวเฉา

* ควรจะทาครีมหรือโลชั่นทุกครั้งหลังจากอาบน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านชอบอาบน้ำอุ่นเป็นประจำหรืออาบน้ำนานมาก เพราะผิวจะแห้งมาก
* ไนท์ครีม น่าจะทาหน้าก่อนนอนเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้าท่านชอบนอนห้องแอร์
* ถ้าต้องล้างมือบ่อย ควรทาครีมบำรุงผิวมือบ่อยๆ หลังล้างมือ
* ส่วนจะใช้ยี่ห้อไหนดี ใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงมาก ใช้ที่มีส่วนประกอบของสารข้างต้น ครั้งแรกลองใช้ทาเฉพาะที่ก่อน ถ้าทาไป 3-4 วัน แล้วไม่แพ้ก็ใช้ทาทั่วไปได้

2. ครีมกันแดด (Sunscreen)

* ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลา 11.00-15.00 น. เพราะแสงแดดช่วงเวลานี้ จะมีรังสีอัลตราไวโอเลตสูงมาก
* ควรสวมหมวกใบใหญ่ ปีกกว้าง ถือร่ม ใส่เสื้อแขนยาว ใส่แว่นตากันแดด ถ้าท่านต้องตากแดดเป็นประจำ
* ทายากันแดดที่มี SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป
* ยากันแดดใช้ยี่ห้อไหนดี ถ้าท่านแพ้ง่าย ควรใช้ยากันแดดที่มีส่วนผสมของติเตเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้หลักการคล้ายกับการสะท้อนแสง ทาแล้วจะกันแดดได้ดีเพียงแต่ทาแล้ว อาจจะมีใบหน้าขาววอกไปหน่อย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะมีส่วนผสมของซินนาเมต ซึ่งก็ใช้ทากันแดดได้ผลดีเช่นกัน และหน้าไม่ขาววอกเกินไป
* ครั้งแรกที่ทายากันแดด ควรเริ่มทาที่บริเวณหน้าผากก่อน ทดลองทาดูประมาณ 3-4 วัน ถ้าไม่แพ้ วันหลังจึงทาทั่วใบหน้าได้นะคะ
* การทายากันแดด ควรทาประมาณ 1/2 ชั่วโมงก่อนออกไปตากแดด ถ้าต้องตากแดดทั้งวันตอนบ่ายควรทายากันแดดซ้ำอีก 1 ครั้ง

3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว (Whitening cream)

ปัจจุบัน มีครีมที่ทำให้หน้าขาวใสขึ้น ไร้รอยเหี่ยวย่น ลบริ้วรอยต่างๆ ซึ่งมีมากมายหลายชนิด ถ้าท่านอยากให้หน้าใสขึ้นก็ใช้ทาได้ ถ้าไม่แพ้นะคะ ถ้าแพ้ระคายเคืองก็ต้องหยุดใช้ยายี่ห้อนั้นๆ ดังกล่าวที่ค่อนข้างใช้ได้ผลดี และไม่ค่อยแพ้ ไม่อันตรายจนเกินไป มักจะมีส่วนประกอบของสารสำคัญดังนี้ คือ

* กลุ่มกรดผลไม้ AHA
* กลุ่ม BHA
* กลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoic acid)
* กลุ่มกรดอะเซเลอิค (Azeleic acid)
* กลุ่มอื่นๆ เช่น วิตามินซี กรดโคจิค สารสกัดมัลเบอร์รี่

ถ้าท่านผิวดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมที่ทำให้หน้าขาวนะคะ

4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

* กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ วันละ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มเหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์ต่างๆ น้ำชา กาแฟ มากเกินไป ไม่ดีนะคะ
* อย่าทำงานหนักเกินไป อย่าเครียดงานมากเกินไป ถ้าท่านทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน จะเกิดร่องรอยตีนกาชัดเจนมากขึ้น อย่างรวดเร็วมาก
* ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วแต่บุคคลและวัยนะคะ
* ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน

น้ำที่ร้อนจัดเกินไป หรือน้ำอุ่นแต่อาบน้ำนานมาก จะทำให้ผิวหนังแห้งมากจนเกินไป ถ้าอาบเป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองคันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านเป็นโรคผื่นแพ้คันอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นมากจนเกินไปนะคะ

* หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน อาบน้ำอุ่นนานๆ บ่อยๆ
* หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ
* อย่าอบไอน้ำ อบตัวด้วยความร้อน อบเซาว์น่า บ่อยๆ จนเกินไปหรือนานเกินไป

6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

* ท่านที่ชอบการขัดหน้า นวดหน้า พอกหน้า หลายๆ รูปแบบนั้น จะยิ่งมีโอกาสเกิดการระคายเคืองได้ง่าย หน้าจะยิ่งบางลง และไวต่อแสงแดดมากขึ้น มีโอกาสเกิด ฝ้า กระ สิว ได้มากขึ้น นอกจากจะเสียเงินมากขึ้นแล้ว ยังเสียเวลาและเสียดายใบหน้าอีกด้วยนะคะ
* การขัดตัว การที่ท่านไปขัดตัวตามสถานที่ต่างๆ หรือซื้อฟองน้ำ ใยบวบหรือหินขัดต่างๆ มาขัดด้วยตนเอง พอกสารหลายอย่าง แล้วขัดถูตัวกันอย่างจริงจังนั้น เป็นการทรมานผิวหนังของท่านมากจนเกินไปนะคะ คิดดูซิคะว่า ผิวหนังจะสกปรกอะไรกันนักหนา ถึงต้องขัดตัวขนาดนั้น เพราะฉะนั้นอาบน้ำฟอกสบู่เบาๆ ใช้แค่สบู่เด็กอ่อนๆ ถูเบาๆ ก็เพียงพอแล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจากนตยสารใกล้หมอ บทความโดย พญ.วิญญารัตน์ ตันศิริ