1.เป่าผม ไดร์ผม
จะทำให้ผมแห้งกรอบ ถ้าไม่รีบควรจะปล่อยให้ผมแห้งเอง โดยธรรมชาติบ้างและหากต้องใช้เครื่องเป่าผมก็อย่าจ่อเครื่องเป่าให้แนบติด กับผมมากเกินไป หาเครื่องเป่าผมที่มีช่องลมโต ๆ และเปิดความร้อนให้ระดับต่ำสุด จะดีกับสุขภาพของเส้นผมมาก
2.แปรงผมวันละร้อยครั้ง
คือ การจัดผมให้เข้ารูปเข้าทรง แปรงผมบ่อยเกินไป จะไปดึงเส้นผม อาจทำให้หนังศีรษะถลอกเป็นแผลได้ และที่สำคัญควรแปรงผมอย่างเบามือ เลือกใช้แปรงที่ขนแปรงห่างกันมาก ๆ จะช่วยป้องกันเส้นผมพันกัน3. ใช้แชมพูทูอินวันสะดวกดี ไม่ควรใช้เป็นประจำ เพราะอาจทำให้เส้นผมหยาบกระด้างได้
4.ใช้ยางหนังสติ๊กรัดผมหรือยางที่สำหรับรัดปากถุง
จะทำให้ผมอ่อนแอ และแตกปลายได้ เลือกใช้ที่ยางรัดผม ที่หุ้มด้วยผ้าจะดีกว่า
5.เกาผมแรง ๆ ในระหว่างสระผม
เพราะเกิดอาการคัน และถ้าเป็นรังแค การเกาแรงๆ จะทำให้รังแคลุกลามมากขึ้น การสระผมที่ถูกวิธี ควรนวดด้วยฝ่ามือแทน
6.ไม่ค่อยสระผม
การสระผมบ่อย ๆ แล้วจะทำให้ผมแห้ง แต่ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญเรื่องผม ต่างยืนยันมาว่าไม่จริงยิ่งถ้าอยู่ท่ามกลางมลพิษก็จำเป็นจะต้องสระผมบ่อย ๆ และควรสระทุกครั้งที่รู้สึกว่า ผมสกปรก เพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษนั้น เป็นต้นเหตุให้ผมขาดประกายเงางามและกลายเป็นผมหยาบในที่สุด
7.ใช้เครื่องสำอางสำหรับผมมากไป
จะก่อให้เกิดการตกค้างของสารเคมีบน เส้นผม ทำให้เส้นผมส่องประกายเงางามได้ยาก ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมบ่อย ๆ ก็ควรจะสระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนใสบ้าง เพื่อช่วยชำระสารเคมีตกค้างจากผลิตภัณฑ์ด้วย
8.ดัดผมยืดผม
เป็น การทารุณกับเส้นผมเป็นอย่างมาก เพราะศัตรูตัวร้ายรองจากแสงแดด และการเป่าผม ก็คือการปล่อยให้เส้นผมโดนสารเคมีแรง ๆ จากน้ำยาดัดและยืดผม ซึ่งทำให้ผมเสียได้ง่ายๆ เหมือนกันถ้าอยากมีผมที่สวยและเงางาม ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาเส้นผมกันด้วย
Sunday, July 18, 2010
ไดเอท ง่ายๆ สไตล์ สาวญี่ปุ่น
เคยสังเกตกันไหมว่า สาวญี่ปุ่น นอกจากจะคงความโนะเนะ น่ารักของวัยใสไว้ได้จนกระทั่ง เข้าวัยกลางคนแล้ว เธอยังคง ทรวดทรงงดงาม อ้อนแอ้นตามแบบหญิงเอเชีย ไม่อ้วนเผละไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หรือพกห่วงยางไว้ให้อุ่นใจ ยามเตร็ดเตร่แถวชายทะเล เหมือนสาวประเทศอื่นๆ พวกเธอมีเคล็ดลับอย่างไร ในการรักษาทรวดทรงองค์เอว ให้อ้อนแอ้นอรชรเหมือนสาวแรกรุ่น ตลอดเวลากันแน่ คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหาร ของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง เคล็ดลับที่จะนำเสนอนั้น นอกจากจะ ใช้ได้กับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังปรับใช้ได้กับอาหารไทยอีกด้วย
+ เริ่มจากการเลือก ถ้วยชาม ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนว เอิร์ธโทน อย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
+ นอกจากนั้น ถ้วยชาม ที่ใช้ควรมี ขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด
+ การใช้ ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้ คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง
+ การกิน อาหารหลากหลายประเภท พร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอด เวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อ มากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน
+ เริ่มจากการเลือก ถ้วยชาม ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนว เอิร์ธโทน อย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
+ นอกจากนั้น ถ้วยชาม ที่ใช้ควรมี ขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด
+ การใช้ ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้ คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง
+ การกิน อาหารหลากหลายประเภท พร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอด เวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อ มากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน
อาหาร เพื่อวันนั้นของเดือน
PMS (Premenstrual Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้น ก่อนการมี ประจำเดือน อย่างเช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน เป็นตะคริว อ่อนเพลีย หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย เป็นต้น
เมื่อใกล้ถึงวันนั้นของเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีอาการดังกล่าว มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ป้องกันหรืออย่างน้อยที่ก็บรรเทาได้หาก "เลือก" หรือ "เลี่ยง" การรับประทานอาหารบางประเภทในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน
เลือก
แมงกานีส นักวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าแมงกานีสช่วยให้การมีประจำเดือนดำเนินไปอย่าง ปกติ ช่วงที่มีประจำเดือนจึงควรรับประทานอาหารที่มีแมงกานีสได้แก่ ธัญพืช ถั่ว ผัก และผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสับปะรด ชาแม้จะเป็นอาหารที่มีแมงกานีสเช่นกัน แต่ก็มีกาเฟอีนซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวได้
แคลเซียม ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากที่เคยรับประทาน อยู่เป็นประจำ เช่น ตับ ปลาตัวเล็กตัวน้อย กะปิ กุ้ง ผักใบเขียวเช่นคะน้า เพราะผลวิจัยพบว่า แคลเซียมช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการมีประจำเดือน เช่น ปวดท้อง ปวดหลัง หงุดหงิด วิตกกังวล ซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
คาร์โบ ไฮเดรต เวลาปกติผู้หญิงอาจไม่สนใจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากนัก แต่ช่วงมีประจำเดือน คาร์โบไฮเดรตคืออาหารที่ช่วยลดผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอารมณ์ลงอย่าง ได้ผล ผลการวิจัยจากศูนย์ศึกษาวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงดังกล่าวช่วยลดอาการหงุดหงิด เครียด อารมณ์สีย รวมถึงอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เพราะคาร์โบไฮเดรตช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเซอโรโทนินซึ่งทำให้อารมณ์ดี มีจิตใจแจ่มใสขึ้น ถ้ากลัวว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงเวลามีประจำเดือนจะทำให้น้ำหนัก ตัวเพิ่มขึ้นก็ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮดรตที่มีคุณภาพ เช่น ธัญพืชหรือข้าวกล้อง เป็นต้น
หลีกเลี่ยง
กาเฟอีน ผลการวิจัยพบว่าผู้หญิงจีนที่ดื่มกาแฟวันละหนึ่งถ้วยครึ่งถึงสี่ถ้วย มีอาการต่างๆ ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ก่อนการมีประจำเดือนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเครื่อง ดื่มเหล่านี้ถึง 2 เท่า จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในช่วงเวลาดังกล่าวโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งคนที่ร่างกายอ่อนไหวต่อการบริโภคกาเฟอีนอยู่แล้ว
เมื่อใกล้ถึงวันนั้นของเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีอาการดังกล่าว มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ป้องกันหรืออย่างน้อยที่ก็บรรเทาได้หาก "เลือก" หรือ "เลี่ยง" การรับประทานอาหารบางประเภทในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน
เลือก
แมงกานีส นักวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าแมงกานีสช่วยให้การมีประจำเดือนดำเนินไปอย่าง ปกติ ช่วงที่มีประจำเดือนจึงควรรับประทานอาหารที่มีแมงกานีสได้แก่ ธัญพืช ถั่ว ผัก และผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสับปะรด ชาแม้จะเป็นอาหารที่มีแมงกานีสเช่นกัน แต่ก็มีกาเฟอีนซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวได้
แคลเซียม ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากที่เคยรับประทาน อยู่เป็นประจำ เช่น ตับ ปลาตัวเล็กตัวน้อย กะปิ กุ้ง ผักใบเขียวเช่นคะน้า เพราะผลวิจัยพบว่า แคลเซียมช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการมีประจำเดือน เช่น ปวดท้อง ปวดหลัง หงุดหงิด วิตกกังวล ซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
คาร์โบ ไฮเดรต เวลาปกติผู้หญิงอาจไม่สนใจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากนัก แต่ช่วงมีประจำเดือน คาร์โบไฮเดรตคืออาหารที่ช่วยลดผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอารมณ์ลงอย่าง ได้ผล ผลการวิจัยจากศูนย์ศึกษาวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงดังกล่าวช่วยลดอาการหงุดหงิด เครียด อารมณ์สีย รวมถึงอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เพราะคาร์โบไฮเดรตช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเซอโรโทนินซึ่งทำให้อารมณ์ดี มีจิตใจแจ่มใสขึ้น ถ้ากลัวว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในช่วงเวลามีประจำเดือนจะทำให้น้ำหนัก ตัวเพิ่มขึ้นก็ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮดรตที่มีคุณภาพ เช่น ธัญพืชหรือข้าวกล้อง เป็นต้น
หลีกเลี่ยง
กาเฟอีน ผลการวิจัยพบว่าผู้หญิงจีนที่ดื่มกาแฟวันละหนึ่งถ้วยครึ่งถึงสี่ถ้วย มีอาการต่างๆ ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ก่อนการมีประจำเดือนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเครื่อง ดื่มเหล่านี้ถึง 2 เท่า จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในช่วงเวลาดังกล่าวโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งคนที่ร่างกายอ่อนไหวต่อการบริโภคกาเฟอีนอยู่แล้ว
ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่ และบำรุงผิว

สตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีอานุภาพสูงมากในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย
นอกจากนี้ สตรอเบอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัส และแคลเซียม จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น
โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหวัด และโรคภูมิแพ้
ผลการศึกษาทางการแพทย์ ยังพบว่า เมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากันกับผลไม้ชนิดอื่นๆ
สตรอเบอร์รี่ มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า ส้ม หนึ่งเท่าครึ่ง
สูงกว่า องุ่นแดง สองเท่า.. สูงกว่า กีวี สามเท่า.. สูงกว่า กล้วยหอม กับ มะเขือเทศ เจ็ดเท่า..และสูงกว่า “ลูกแพร” ถึงสิบห้าเท่า
สตรอเบอร์รี่นอกจากจะเป็นผลไม้ที่อร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายในการนำไปใช้บำรุงผิว เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมันถึงผิวปกติ
สตรอเบอร์รี่ มีกรดอัลฟ่าไฮดรอกซี่ ช่วยในการขัดลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างยอดเยี่ยม เป็นการบำรุงผิวอย่าง่ายๆ
นำสตรอเบอร์รี่ผ่าซีก แล้วนำเนื้อสตรอเบอร์รี่ทาลงบนผิวหน้าให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ 2 นาที แล้วล้างออก ผิวจะนุ่มลื่นขึ้น
สตรอเบอร์รี่ครีมมาสก์ ทำเองได้โดยนำสตรอเบอร์รี่ ผสมกับนมเปรี้ยว และน้ำผึ้ง ทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก
ผิวจะนุ่ม ช่วยลดสิว และลดอาการผิวมันบนใบหน้า
ลดอาการผิวเท้าหยาบกร้าน ทำสครับสตรอเบอร์รี่ นำสตรอเบอร์รี่ 8 ผล น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1 ช้อนชา
บดผสมให้เข้ากันจนข้น แล้วถูนวดลงบนเท้า จากนั้นก็ล้างออก
แก้ตาบวม สตรอเบอร์รี่เป็นชิ้นบางๆ และวางลงใต้ตา ผ่อนคลายสัก 10 นาที แล้วล้างออก จะรู้สึกว่ารอบดวงตาดูชุ่มชื้นขึ้น
บำบัดผิวให้สวยกระจ่างใสด้วยพลังผักผลไม้

มลภาวะ ฝุ่นควัน แสงแดด และความเครียด เป็นศัตรูตัวร้ายของผิวพรรณที่ทำลายผิวสวยให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ หมองคล้ำ ไม่เนียนใสเหมือนผิวเด็ก
วิธีแก้ไขในเบื้องต้นที่จะช่วยบำบัดผิวให้กลับมากระจ่างใส ด้วยพืชผักผลไม้ที่เรียกได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งหาได้ง่ายทั่วไป
คืนความสดใสแก้ไขผิวอ่อนล้าไม่สดใส ผิวแห้งเหี่ยวย่นขาดความนุ่มชุ่มชื้นลองใช้แตงกวาสด ๆ ล้างน้ำให้สะอาดนำไปสับหรือปั่น
คั้นเอาแต่น้ำ นำมาทาบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก ผิวหน้าของคุณจะสดใสมีชีวิตชีวา สามารถช่วยคืนความสดชื่นให้กับผิวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผิวหน้าที่อ่อนล้าและทรุดโทรม
2.ใช้ใบชา ซึ่งมีสารช่วยเคลือบผิวที่บอบช้ำให้กลับคืนสู่สภาพปกติ
โดยนำใบชาที่ต้มแล้วบรรจุลงบนถุงผ้าสะอาดบาง ๆ ขนาดเล็ก แล้ววางบนใบหน้าหรือบริเวณรอบดวงตา
หรือใช้ชาแบบถุงชา teabag ที่ผ่านการชงแล้ว เก็บไว้ให้เย็น แล้วนำมาวางบนดวงตาขณะหลับตาพักผ่อนสายตา ประมาณ 20 นาที
ช่วยให้ผิวหน้าและผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นสดใสได้อีกครั้ง
คืนผิวสวย เนียนใส ไร้รอยด่างดำ แก้ปัญหาสิว ฝ้า ริ้วรอย จุดด่างดำ ผิวหน้าไม่ขาวนวลกระจ่างใส
นำน้ำผึ้งแท้ ๆ และมะขามเปียกมาผสมกันในอัตราส่วนที่เข้มข้น ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออก
จะช่วยให้ผิวหน้าคุณนวลเนียนผ่องใสไม่หมองคล้ำ ดูเกลี้ยงเกลามากยิ่งขึ้น
นำน้ำมะนาวผสมน้ำ 1 :1 ทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ทำวันละ 1 ครั้ง เพื่อสิว ฝ้า จุดด่างดำค่อย ๆ เลือนหาย
แล้วผิวยังนุ่มนวลอีกด้วย
ดูแลให้ผิวสวยสดใส ด้วยผลอโวคาโด ซึ่งเป็นผลไม้เปลือกสีเขียว ผิวมีลักษณะขรุขระ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน เอ บี ซี ดี และอี
โดยก่อนที่คุณจะเข้านอนให้ นำผลอโวคาโดโดยประมาณ 1/2 ของผล มาบดหรือปั่นให้ละเอียดจนเหมือนเนยเหลว
แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้สักครู่ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วค่อยล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณยิ่งเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น น่าสัมผัส
หรือใช้มะเขือเทศสุกสด ๆ มาปั่นให้ละเอียดแล้วนำมาพอกที่ผิว ซึ่งในน้ำมะเขือเทศสุกมีสารที่ช่วยในการขจัดเชื้อแบคทีเรียตามรูขุมขนช่วยให้ผิวสดใสยิ่งขี้น อีกทั้งยังช่วยสมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่น เต่งตึงมีน้ำมีนวล
สมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่นด้วยวุ้นจากว่านหางจระเข้ โดยใช้วุ้นที่ตัดออกมาใหม่ๆ จากต้น นำมาล้างยางสีเหลืองออกให้สะอาด
แล้วนำวุ้นมาตีปั่นให้ละเอียดก่อนนำมาพอกที่ผิวจะช่วยบำรุงให้ผิวนุ่มมี สุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยสมานแผลได้
แต่ถ้าหากผิวของคุณมีสิวฝ้ามาก ทั้งสิวอักเสบ รอยแผลเป็น จุดด่างดำ ฝ้าลึก กระ ต่างๆ มากเกินกว่าจะใช้ธรรมชาติบำบัดผิว
การไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจรักษาจะดีกว่า ไม่ควรไปหาซื้อยาหรือเครื่องสำอางที่ยังไม่อาจแน่ใจได้
ว่ามีมาตรฐานและความปลอดภัย
ทิปเด็ด! สวยใสในพริบตา
ถ้าคุณมีเวลาไม่มากนักในการแต่งเติม ความงามบนใบหน้า นี่คือขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณดูสวยพร้อมในเวลาอันรวดเร็ว
* ใช้ครีมรองพื้นแบบแท่งกลบรอยแดงๆ และสิวเอาไว้ การเลือกเฉดสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวของคุณ จะช่วยให้ทาได้ง่ายและเร็วขึ้น
* ที่ดัดขนตาดีๆ จะช่วยให้ดวงตาของคุณดูโตขึ้น และขนตางอนสวยโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที
* การปัดมาสคาร่าสองสามรอบ จะช่วยให้ดวงตาดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ถ้าคุณไม่มีเวลาทาอายแชโดว์หรือเขียนอายไลเนอร์* ใช้ผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์ที่ใช้แต่งเติมความงามบนใบหน้าได้หลายอย่าง และสามารถใช้นิ้วแต้มลงบนเปลือกตา แก้ม และริมฝีปากได้ โทนสีชมพูกุหลาบ สีพีช และสีบรอนซ์เป็นโทนสีที่ใช้ได้ดีที่สุด
* ใช้ลิปสติกแบบบางใสและมีความมันวาว หรือลิปบาล์มแบบที่มีสีเจืออยู่เล็กน้อย จะช่วยให้เรียวปากดูสวยใสได้โดยไม่ต้องเขียนขอบปากหรือทาทับด้วยลิปกลอส ลิปสติกโทนสีแดงหรือชมพูจะช่วยให้ดูสดใสขึ้นได้ แม้ในยามที่แต่งหน้าไม่ครบสูตร
* ใช้ครีมรองพื้นแบบแท่งกลบรอยแดงๆ และสิวเอาไว้ การเลือกเฉดสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวของคุณ จะช่วยให้ทาได้ง่ายและเร็วขึ้น
* ที่ดัดขนตาดีๆ จะช่วยให้ดวงตาของคุณดูโตขึ้น และขนตางอนสวยโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที
* การปัดมาสคาร่าสองสามรอบ จะช่วยให้ดวงตาดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ถ้าคุณไม่มีเวลาทาอายแชโดว์หรือเขียนอายไลเนอร์* ใช้ผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์ที่ใช้แต่งเติมความงามบนใบหน้าได้หลายอย่าง และสามารถใช้นิ้วแต้มลงบนเปลือกตา แก้ม และริมฝีปากได้ โทนสีชมพูกุหลาบ สีพีช และสีบรอนซ์เป็นโทนสีที่ใช้ได้ดีที่สุด
* ใช้ลิปสติกแบบบางใสและมีความมันวาว หรือลิปบาล์มแบบที่มีสีเจืออยู่เล็กน้อย จะช่วยให้เรียวปากดูสวยใสได้โดยไม่ต้องเขียนขอบปากหรือทาทับด้วยลิปกลอส ลิปสติกโทนสีแดงหรือชมพูจะช่วยให้ดูสดใสขึ้นได้ แม้ในยามที่แต่งหน้าไม่ครบสูตร
ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง

หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก, เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาด ๆ ยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนาน ๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย
โดย ร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่? ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง
จากประสบการณ์ ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ ๆ ก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอเส้นเลือดอุดตันได้เลย
เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออกยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือดเราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้น หนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุก ๆ วัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก
ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่เราทาน เข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมา ๆ หยุด ๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบ เขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อย ๆ กลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ช่องทางในการขับของเสีย ออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ 2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ 4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน
เมื่อช่อง ทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่าง ๆ ให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อย ๆ เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว
Subscribe to:
Posts (Atom)